
นี่เป็นหนึ่งในบทความที่ผมจะมาแชร์ Insight จริง ๆ ที่ผมใช้ในการสร้างผู้ติดตามใน Instagram ให้ได้ 10K คนภายใน 3 เดือน และที่สำคัญผมสามารถสร้างรายได้ 100K บาทจากการขาย Digital Product ผ่าน IG Story แค่ 4 อันเท่านั้น!
มันอาจจะฟังดูเว่อร์ แต่ถ้าใครที่ติดตาม IG เอิร์ธอยู่จะอยู่ว่ามันคือเรื่องจริง และในบทความนี้เอิร์ธจะมาเผยกลยุทธ์ทั้งหมดแบบไม่กั๊กเลย ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันครับ
- คุณจะสร้างผู้ติดตามใน Instagram ไปเพื่ออะไร?
- วิธีการสร้าง Personal branding ใน Instagram
- แชร์ตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผม
- กลยุทธ์ที่ผมใช้สร้างรายได้ 100K จากการลง IG Story 4 อัน
- สรุปบทเรียนสำคัญ
- สุดท้ายนี้… (และสำคัญที่สุด!)
คุณจะสร้างผู้ติดตามใน Instagram ไปเพื่ออะไร?

นี่คือคำถามแรกที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนเลย เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แนวทางทั้งหมดหลังจากนี้จะไม่มีประโยชน์เลย
หากให้ผมตอบเหตุผลของตัวเองก็คือ ผมอยากจะสร้าง “Personal Branding” ครับ
ที่นี้ก็เกิดคำถามต่อว่า แล้วจะทำ Personal Branding ไปทำไม? (ดูเป็นเด็กขี้สงสัยมั้ยครับ 5555+ )
แต่มันจำเป็นต้องถามจริง ๆ ซึ่งคำตอบของผมก็คือ ผมอยากสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จัก มีผู้ติดตาม มี Traffic เข้ามา เพื่อสุดท้ายผมจะได้นำไปต่อยอดในการขายสินค้าและบริการต่าง ๆ
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ ผมรู้ว่าผมเพิ่มผู้ติดตาม เพื่อนำไปสู่การขายสินค้า ไม่ได้อยากจะเป็น Influencer รับงานโฆษณา หรือทำ Content แนว Lifestyle
ผมมีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่วันแรก:
- สร้าง Personal Branding ให้คนจำได้
- ดึง Traffic เข้ามาหาเรา (แบบมีกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่รอให้คนมาเจอ)
- ขาย Digital Product (เพื่อสร้างรายได้จริงๆ ไม่ใช่แค่มีคนติดตามเยอะๆ)
เมื่อเราชัดเจนกับตัวเองว่าเราทำไปเพื่ออะไร กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ตามมามันจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ
เพราะงั้นผมบอกก่อนเลยนะครับว่าในบทความนี้ ผมจะแชร์วิธีการเพิ่มผู้ติดตาม สำหรับคนที่อยากเป็น Soloprenuer อยากทำธุรกิจออนไลน์ อยากมี Digital Products มานำเสนอให้กับผู้ติดตาม
ไม่ได้ทำ Content เล่น ๆ สนุก ๆ แล้วหวังว่าจะ Jackpot ดังชั่วคราวคืนนะครับ
(ถึงแม้ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้นก็เถอะ 555+)
วิธีการสร้าง Personal branding ใน Instagram

Personal brand คืออะไร?
เป็นคำถามโลกแตกที่ถกเถียงกันมานาน แต่ละคนก็ให้คำตอบไม่เหมือน ซึ่งผมชอบนิยามเรื่อง Branding อันนึงของ Jeft Bazos เจ้าของ Amazon (ที่ไม่ใช่ร้านกาแฟ) เอาไว้ว่า
Personal branding คือสิ่งที่คนพูดถึงคุณ ในตอนที่คุณไม่ได้อยู่ในห้อง
ดังนั้น ทุก ๆ การรับรู้ส่งผลต่อ Personal branding หมดเลย แล้วคนเรารับรู้จากไหนครับ?

ก็จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย
แต่ในเรื่อง Personal brand ในโลกออนไลน์ หลัก ๆ ก็คงเป็นเรื่องของ ตากับหู (เห็นและได้ยิน)
เพราะงั้นมันเลยจำเป็นมาก ๆ ครับ ที่คุณต้องออกแบบการสื่อสาร (ทั้งภาพและเสียง) ให้ดีที่สุด เพื่อให้มันสะท้อนมิติที่คุณอยากให้ผู้รับสารจดจำ
ทีนี้ในการสร้าง Personal branding ใน Instagram มันต้องโฟกัสอะไรบ้าง? มีขั้นตอนยังไงบ้าง เดี๋ยวผมไล่เรียงไปทีละขั้นตอนให้ครับ ไปกันต่อออ
กำหนด Domain of mastery และ Niche ที่คุณอยากสื่อสารด้วย

อย่างที่บอกไปว่า Personal branding คือภาพจำที่มีต่อตัวคุณ ดังนั้นคุณต้องมีสิ่งดี ๆ ที่อยากให้ผู้ติดตามจดจำ ซึ่งผมเรียกมันว่า “Domain of mastery” หรือพื้นที่ความเชี่ยวชาญ
อย่าพึ่งตกใจหลังจากเห็นคำว่าเชี่ยวชาญนะครับ เพราะเอาจริง ๆ แล้วมันอาจไม่ต้องเป็นสิ่งที่คุณเชี่ยวชาญขนาดนั้น อาจเป็นแค่ความชอบ ความสนใจ หรือสิ่งที่คุณถนัด และอยากจะเล่าออกมาผ่าน Content แค่นั้นเอง
ผมอยากให้คุณลอง List ออกมาสัก 3 อันว่า Domain of mastery ของคุณคืออะไร เช่น
- Writing skill
- Solopreneur
- Productivity
ที่ยกตัวอย่างไปนี่คือ Domain of mastery ของผมเลย 555+
ต่อมาสิ่งที่คุณต้องมีก็คือ “Niche” หรือกลุ่มเป้าหมายที่คุณอยากคุยด้วย และอยากเข้าไปช่วยเหลือเขาด้วยความเชี่ยวชาญที่คุณมี
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบนี้ครับว่า ถ้าคุณมีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์
คำถามคือ? คุณอยากเอาความเชี่ยวชาญนี้ไปสอนใคร?
เพราะเอาจริง ๆ ถึงผมจะใช้คำว่าเชี่ยวชาญ แต่เนื้อหา 1 เรื่องมันก็กว้างมาก ๆ
ถามว่าเชี่ยวชาญคณิตศาสตร์นี้ต้องเก่งขนาดไหน?
คำตอบก็คือ แค่คุณเก่งกว่ากลุ่มเป้าหมายก็พอครับ
เช่นผมอาจจะเก่งคณิตศาสตร์กว่าเด็กม.6
(เพราะผมจบคณะวิศวกรรมศาสตร์มา ควรเก่งกว่าเนอะ 555555)
Niche ผมก็อาจจะเป็นเด็กมัธยมที่อยากจะเก่งคณิตศาสตร์ขึ้น ไม่ใช่จะไปสอนอาจารย์มหาวิทยาลัย 555+
ผมว่าคุณน่าจะพอเห็นภาพมากขึ้นนะครับว่า Domain of mastery กับ Niche มันเชื่อมโยงกันยังไง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น อย่างตัวผม
- Domain of mastery คือผมสามารถทำ Landing page ด้วย Framer ได้ และสร้างยอดขายไปแล้ว 6 หลักจาก Landing page ตัวนั้น
- Niche ที่ผมอยากจะช่วยก็คือ คนที่ทำ Landing page ไม่เป็น ไม่เคยปิดการขายด้วย Landing page มาก่อน แต่อยากจะทำไว้ขายสินค้าโดยเฉพาะ Digital Product
ซึ่งผมไม่ได้อยากจะไปช่วยคนที่ทำ Landing page เก่งอยู่แล้ว หรือถ้าเขาขายของได้เป็นหลัก 10 ล้าน เขาก็ไม่ใช่ Niche ของผมครับ (ผมน่าจะอยากให้เขาสอนมากกว่า 555+)
เมื่อคุณเข้าใจ 2 อย่างนี้ชัดเจน และกำหนดมันขึ้นมาได้ สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปก็คือ การสื่อสารให้ Niche (กลุ่มเป้าหมาย) รับรู้ว่าคุณ Mastery (เชี่ยวชาญ) เรื่องนี้จริง ๆ
แล้วมันทำยังไงล่ะเอิร์ธ มันก็คือการทำ Content ยังไงล่ะครับ พูดมาตั้งนานพึ่งจะเข้าเรื่อง Content จะบ้าาาา
ซึ่งผมจะยังไม่สอนวิธีการเขียน content ที่ผมใช้ครับ แต่ผมจะพูดถึงสิ่งแรกที่สำคัญมากไม่แพ้กันก่อน นั่นก็คือ Profile ของเรา
หลายคนอาจจะงง Profile มันสำคัญยังไง ไปหาคำตอบในเนื้อหาต่อไปกันครับบบบ
Profile optimization เป็นสิ่งสำคัญ

ส่วนแรกที่จะเห็นทันทีหลังจากกดเข้ามาที่หน้า Profile ของคุณ คือ
- ชื่อ account
- รูป Profile
- Bio ที่คุณเขียน
ตรงส่วนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เพราะมันคือการรับรู้แรกของว่าที่ลูกค้า หรือผู้ติดตาม
คุณต้องทำให้เขารับรู้ในทันทีว่า “คุณจะช่วยอะไรเขา”
ถ้าจะทำ Personal brand แน่นอนว่าชื่อก็ควรจะเป็นชื่อของคุณ หรืออาจจะเป็น AKA ก็ได้เหมือนกัน อย่างของผมก็ Earth Rati
Rati มาจาก 2 พยางค์แรกของชื่อจริงผม (Ratipong)
ส่วนรูปก็เป็นหน้าตัวเองไปเลยครับ จริง ๆ ถ่ายให้ดู Professional กว่าผมก็ได้นะ ของผมจะใช้รูปที่ตัวเอง selfie ดูไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่ แต่ก็ดูเข้าถึงง่ายดี 555+
และในส่วนของ Bio เอิร์ธแนะนำให้บอกไปเลยว่าคุณจะช่วยอะไร ช่วยใคร ช่วยอย่างไร
อย่างของเอิร์ธก็จะเป็น ช่วยให้ Solopreneur ทำน้อย แต่ได้มาก ด้วย Digital skill
น่าจะเป็นเห็นภาพกันมากขึ้นนะครับ
ออกแบบการทำ Content
หลังจากที่คุณเลือก Domain of mastery ได้แล้ว 3 อัน กำหนด Niche ที่อยากคุยด้วย และออกแบบ Profile ให้ชัดเจนแล้ว ต่อมาคือการเริ่มทำ content
กว่าจะเข้าเรื่อง content ได้ผ่านอะไรมาเยอะเลย 555+
แต่จะบอกว่าที่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นในตอนแรกก็เพื่อจุดประสงค์เดียวเลยครับคือ…
ทำให้คุณ “สื่อสารได้ชัดเจน”
พอคุณสื่อสารได้ชัดเจน content ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่อยากคุยด้วย คุณก็จะดึงดูดแต่ผู้ติดตามที่มีคุณภาพ มีโอกาสจะเป็นลูกค้าที่ซื้อ Digital product ของคุณ
ผมชอบคำพูดนึงของ Dan Koe (Solopreneur ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก)
เขาบอกไว้ว่า
“คุณภาพของผู้ติดตาม จะตามคุณภาพความคิดของคุณ”
ถ้าคุณทำ Content ได้เฉียบคม มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ผ่านการกลั่นกรองความคิดและประสบการณ์มาอย่างดี คุณก็จะดึงดูดคนแบบเดียวกันเข้ามา
แอบขายของนิดนึงว่า ถ้าคุณอยากสื่อสารได้เฉียบคม เล่าเรื่องราวโน้มน้าวใจได้ เอิร์ธมีคอร์สออนไลน์สอนทักษะการเขียนเชิงโน้มน้าวหรือว่า Copywriting ด้วย
กดที่ Link ได้เลยนะค้าบบ Copywriting Made Simple
แชร์ตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผม

โอเคเรามาดูตัวอย่างจริงของผมดีกว่า จริง ๆ ผมก็ยกตัวอย่างของตัวเองไปบ้างแล้ว แต่ในหัวข้อนี้จะมาดูกันแบบเต็ม ๆ ดีกว่าาา
อย่างแรกคือ Domain of mastery ของเอิร์ธมี 3 เรื่องด้วยกัน
- Copywriting skill
- Solopreneur business
- Productivity
ส่วน Niche ของเอิร์ธคือ “พนักงานประจำที่อยากลาออกมาทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว”
ทีนี้ก็ต้องมาออกแบบการสื่อสาร (Content) กันน

ตอนแรกผมก็งงๆ เหมือนกันว่าจะทำ Content อะไรดี เลยลองทำหลายแบบ:
เดือนที่ 1-2:
- ทำ Short Video สั้นๆ เกี่ยวกับ Motivation
- เน้นเรื่อง Mindset และแรงบันดาลใจ
- ยอดผู้ติดตามขึ้นมาถึง 3,000 คน
เดือนที่ 3:
- เปลี่ยนมาทำ Thread สอนเรื่องธุรกิจ Solopreneur
- เล่าประสบการณ์จริง วิธีคิด และเทคนิคต่างๆ
- ผู้ติดตามพุ่งขึ้นเป็น 17,000 คน!
ทำไมถึงเติบโตแรงขนาดนี้? เพราะผมเข้าใจว่าคนที่อยากออกมาทำธุรกิจ เขาต้องการแรงบันดาลใจก่อน แล้วค่อยตามด้วยความรู้และเทคนิคที่ใช้ได้จริง
มันคือการที่เราดึงกลุ่มคนเข้ามาเยอะ ๆ ก่อนด้วย Content ที่ Mass จากนั้นค่อยปรับการสื่อสารให้เฉพาะกลุ่มมากขึ้นตาม Domain ของเรา
กลยุทธ์ที่ผมใช้สร้างรายได้ 100K จากการลง IG Story 4 อัน

หลังจากมีผู้ติดตามที่ “ใช่” แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการขาย Digital Product
ผมใช้เทคนิคที่เรียกว่า “ขายของโดยไม่ต้องมีของ” (ฟังดูแปลกๆ เนอะ 555+) โดยมี Framework 5 ข้อที่ต้องตอบให้ได้:
ช่วยอะไร – ช่วยให้หาเงิน 10,000 บาทแรกจาก Digital Product
ช่วยใคร – พนักงานประจำที่อยากมีรายได้เสริม
ช่วยอย่างไร – ผ่านคอร์สออนไลน์ที่กลั่นจากประสบการณ์ 4 ปี
ช่วยได้จริงไหม – มี Content + ผลลัพธ์จากตัวผมเองพิสูจน์
จ่ายเท่าไหร่ – แค่ 990 บาท (คุ้มมากถ้าเทียบกับที่จะได้)

จากนั้นผมก็ลงสตอรี่แค่ 4 อัน:
สตอรี่ที่ 1: “เอิร์ธมี Big Surprise มาฝากสำหรับผู้ติดตาม IG เอิร์ธ”
(สร้างความสนใจ + บอกว่าพิเศษเฉพาะผู้ติดตามเท่านั้น)
สตอรี่ที่ 2: “ที่ผ่านมามีคนทักมาถามเรื่อง Solopreneur เยอะมาก อยากให้สอน แต่ผมไม่เคยสอนสักที…”
(สร้าง Pain Point + ความต้องการ)
สตอรี่ที่ 3: “วันนี้ผมเปิดตัว Solopreneur Launchpad!”
(เฉลยโซลูชั่น)
สตอรี่ที่ 4: ” ผมจะไม่บอกว่าสอนอะไร แต่ถ้าคุณเชื่อใจเอิร์ธ และอยากเรียนกับเอิร์ธจริง ๆ พิมพ์ “สนใจ” มาครับ ราคา 990.- พูดง่าย ๆ คือจ่าย 1K เพื่อให้เอิร์ธช่วยคุณหา 10K แรก
(Call to Action ชัดเจน + ราคาที่จูงใจ + Claim benefit ที่จะได้รับอย่างชัดเจน)
ผลลัพธ์: มีคนซื้อ 100 คน = รายได้ 100,000 บาท!
เมื่อเราคิด Offer มาอย่างเฉียบคม นำเสนอหากลุ่มเป้าหมายที่เราดึงดูดมาอย่างดี โอกาสในการปิดการขายได้ก็จะสูงมาก ๆ ครับ
สรุปบทเรียนสำคัญ
ถ้าจะสรุปว่าทำไมผมถึงประสบความสำเร็จ มันมาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ:
- Content ที่มีคุณภาพ แบ่งเป็น:
- 70% แก้ปัญหาให้ผู้ติดตาม (ไม่ใช่แค่พูดเรื่องตัวเอง)
- 20% แชร์ประสบการณ์จริง (ทำให้คนเชื่อว่าเราทำได้จริง)
- 10% เรื่องส่วนตัว (สร้างความใกล้ชิด ให้คนรู้สึกว่าเราเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่แค่เพจธุรกิจ)
- โฟกัสที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ ผมไม่ได้อยากมีผู้ติดตามเป็นแสน ผมแค่อยากได้ผู้ติดตามที่ “ใช่” กับสิ่งที่ผมทำ
คุณรู้มั้ยว่าผมมีเพื่อนที่มีผู้ติดตามหลายหมื่น แต่ขายของไม่ได้เลย เพราะเขาดึงคนผิดกลุ่มเข้ามา… แต่ผมมีแค่หมื่นกว่าคน กลับขายของได้แสนบาทใน 4 สตอรี่
เพราะอะไร? เพราะผู้ติดตามผมคือกลุ่มคนที่สนใจเรื่องการทำธุรกิจจริงๆ
- ทำให้ง่าย แต่ได้ผลจริง เพียงแค่ต้อง offer ให้คม ๆ ด้วย Copywriting skill
ผมไม่ได้ทำอะไรซับซ้อน:
- ไม่ต้องถ่าย Reels เป็นร้อยคลิป
- ไม่ต้องมี Landing Page สวยหรู
- ไม่ต้องทำ Funnel การตลาดซับซ้อน
แค่เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ส่งมอบคุณค่าที่เขาต้องการ และเสนอขายในจังหวะที่เหมาะสม สื่อสารให้โน้มน้าวใจได้ก็พอแล้ว
สุดท้ายนี้… (และสำคัญที่สุด!)
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณอาจจะคิดว่า “แค่นี้เองเหรอ? ดูง่ายจัง”
ใช่ มันง่าย… แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ เพราะความสำเร็จมันไม่ได้อยู่ที่ “รู้” อย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ทำ” ด้วย
ผมเองก็เริ่มจากศูนย์ ลองผิดลองถูก จนเจอวิธีที่ใช่ แล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ
ถ้าคุณอยากเริ่มต้นสร้าง Personal Brand บน Instagram บ้าง ผมมีคำแนะนำง่ายๆ:
- เริ่มจากสิ่งที่คุณรู้จริง รักจริง (ไม่ต้องเก่งที่สุด แค่มีความรู้พอที่จะแชร์ได้)
- เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน (ยิ่งเฉพาะเจาะจง ยิ่งดี)
- ลงมือทำ Content อย่างต่อเนื่อง (แม้จะมีคนดูแค่ 2-3 คนก็ตาม)
- รับฟังผู้ติดตาม ปรับปรุงตลอด
- มองหาโอกาสในการ Monetize (แต่ต้องให้คุณค่าก่อนเสมอ)
สุดท้ายนี้ ถ้าคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ Digital Marketing, การเขียน Copy ที่ขายได้ หรือการสร้างธุรกิจแบบ Solopreneur คุณสามารถติดตามผมได้ที่:
- Instagram: @earth.rati
- Facebook Page: Earth Rati
- Website: earthrati.com
- Newsletter: สมัครด้านล่างบทความนี้ได้เลย
รับรองว่าผมจะแชร์เทคนิคดีๆ แบบนี้ให้อีกเรื่อยๆ ครับ!
Leave a comment