
นี่คือทักษะที่ดีที่สุดในชีวิตของผม มันเป็นทักษะที่เปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ด้วยตัวคนเดียว (แบบ Solopreneur) ทำให้ผมหารายได้ 6 หลักตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
และผมตื่นเต้นมากที่จะมาแชร์เรื่องนี้ให้คุณได้รู้
คุณเคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับ หากคุณขโมยทุกอย่างจากคนรวยไป อีกไม่นานเขาก็จะกลับมารวยใหม่ เพราะคุณไม่สามารถขโมยวิธีคิดและทักษะที่คนรวยมีไปได้ และ Copywriting คือทักษะนั้นครับ
ทำไมผมถึงมั่นใจขนาดนั้น ก็เพราะว่า
ตอนที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ใหม่ ๆ ผมมีสินค้าดี ๆ แต่ขายไม่ออกเยอะมาก พยายามโฆษณาแต่ก็ไม่มีคนสนใจ ลองผิดลองถูกกับการเขียนข้อความขายของมานับไม่ถ้วน
หากมีใครสักคนบอกผมตอนนั้นว่า สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือ “Copywriting” และมันเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจออนไลน์ ผมคงประหยัดเวลาไปได้มาก
ทุกวันนี้ผมสามารถสร้างยอดขายหลักแสนผ่านการเขียน Copy เพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น จะบ้า 5555+
บทความนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า Copywriting คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญมากในยุค 2025 พร้อมทั้งเทคนิคเบื้องต้นที่ควรรู้ในการเขียน Copywriting
นี่คือทั้งหมดที่คุณจะได้รับจากบทความนี้
- Copywriting คืออะไร?
- ความเข้าใจผิดเรื่อง Copywriting ที่คนส่วนใหญ่มี
- ทำไม Copywriting ถึงสำคัญในปี 2025?
- สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเขียนคือ “ข้อมูล”
- โครงสร้างการเขียนที่ได้ผลทุกยุคทุกสมัย
- ตัวอย่าง Copywriting ตามโครงสร้าง Hook Body CTA
- สรุป: Copywriting ไม่ใช่แค่การเขียน แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน
- เริ่มต้นฝึกฝนทักษะ Copywriting ไปพร้อมกัน
Copywriting คืออะไร?

ผมไม่แน่ใจว่าตามพจนานุกรม หรือที่อื่น ๆ เขานิยาม Copywriting ว่ายังไง แต่สำหรับผม
Copywriting คือ การสื่อสารโดยเฉพาะผ่านการเขียน เพื่อให้ผู้อ่านเกิดการคิด ตัดสินใจ และกระทำบางสิ่ง ตามที่ผู้เขียนต้องการ (สั่งซื้อสินค้า)
พูดง่าย ๆ มันก็คือทักษะการสื่อสารเชิงโน้มน้าวใจนั่นเอง โดยผู้สื่อสารมีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าอยากให้เกิดผลอะไรขึ้น
ดังนั้นทักษะนี้ถ้าไปอยู่ในมือของพ่อค้า เขาก็จะกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย ถ้าไปอยู่ในมือของนักการเมือง เขาก็จะมีอำนาจ ถ้าไปอยู่ในมือของ Youtuber เขาก็จะมีชื่อเสียงโด่งดัง
ผมพูดแบบนี้เพราะไม่อยากให้เห็นว่ามันใช้สำหรับการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว
ความเข้าใจผิดเรื่อง Copywriting ที่คนส่วนใหญ่มี
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า Copywriting คือการเขียนข้อความขายของให้สวยหรู ใช้คำโฆษณาชวนเชื่อ หรือแค่การหลอกล่อให้คนซื้อของ
แต่ความจริงแล้ว Copywriting คือศาสตร์และศิลป์ของการสื่อสารที่เข้าใจจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
ผมเคยคิดว่าการเขียนที่ดีต้องใช้คำสวยหรู ต้องมีสำนวนโวหาร ต้องเขียนให้ดูเป็นทางการ… จนกระทั่งผมได้บทเรียนครั้งสำคัญ
วันนั้นผมลองเปลี่ยนวิธีการเขียนใหม่ แทนที่จะพยายามขายของ ผมเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเอง เล่าถึงปัญหาที่เคยเจอ และวิธีที่ผมแก้มันได้
ผมเขียนเหมือนกำลังคุยกับเพื่อน ไม่ได้พยายามขายอะไร แค่แชร์ประสบการณ์จริงๆ
ผลลัพธ์ที่ได้? ยอดขายพุ่งขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นั่นคือจุดที่ผมเข้าใจว่า Copywriting ไม่ใช่ศิลปะการขายของ แต่เป็นศิลปะการสื่อสารที่ทำให้คนรู้สึกว่า “เราเข้าใจพวกเขา”
ทำไม Copywriting ถึงสำคัญในปี 2025?

โลกเปลี่ยนไปมาก เราอยู่ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น AI สามารถสร้างเนื้อหาได้ไม่จำกัด แต่สิ่งที่ AI ทำไม่ได้คือการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์
คนเริ่มเบื่อกับการถูกขายของตลอดเวลา พวกเขาต้องการความจริงใจ ต้องการคนที่เข้าใจปัญหาของพวกเขาจริง ๆ
นี่คือโอกาสของ Copywriting ที่ดี หากคุณสื่อสารได้เฉียบคม เข้าถึงใจของผู้อ่าน การสร้างยอดขาย สร้างผู้ติดตาม สร้างความน่าเชื่อถือ ทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่ายไปเลย
ตอนนี้คุณคงเริ่มอยากจะรู้แล้วว่าการจะเขียน Copywriting ให้ดีได้ต้องรู้อะไรบ้าง มีวิธีการและโครงสร้างในการเล่าเรื่องยังไง Part ต่อไปเอิร์ธจะพาไปลงรายละเอียดแบบลึก ๆ เลย เรียกว่าแทบจะเป็นเนื้อหาในคอร์สราคาหลักพันเลยก็ว่าได้ 5555+
ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันต่อครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเขียนคือ “ข้อมูล”

ใช่ครับ “ข้อมูล” คือสิ่งที่สำคัญที่สุด หลาย ๆ คนอาจคิดว่าเป็นเรื่องของคำหรือเปล่า? ไม่ใช่โครงสร้างในการเล่าเรื่องหรอ? จะบอกว่าพวกนั้นก็สำคัญครับ
แต่คุณจะไม่มีทางเลือกใช้คำที่ดี หรือวางโครงเล่าเรื่องได้เฉียบคมเลย หากคุณไม่มี “ข้อมูล”
แล้วข้อมูลที่ว่านี่คือข้อมูลอะไร หลัก ๆ แล้วมันมี 2 สิ่งที่คุณต้องรู้ด้วยกันครับ
- รู้เขา
- รู้เรา
รู้เขา คุยร้อยครั้งซื้อร้อยครั้ง!
มันคือการรู้ข้อมูลของคนที่คุณกำลังสื่อสารด้วยครับ ย้ำ! ว่าเป็นข้อมูลของคนที่คุณสื่อสารด้วย
ถ้าคุณขายสินค้า คุณต้องรู้ข้อมูลของคนที่จะซื้อ
เช่น คุณกำลังขายอาหารสุนัข คนซื้อคือเจ้าของสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่น้องหมา
เพราะงั้นคุณต้องรู้ว่ากำลังคุยกับใครอยู่ อันนี้สำคัญมาก ๆ
คำถามคือ แล้วต้องรู้อะไร?
สิ่งที่คุณต้องทำในวงการการตลาดจะเรียกว่า “Customer persona”
หรือการสร้างภาพในหัวขึ้นมาว่าคุณกำลังจะคุยกับใคร
- ลูกค้าหรือคนที่เรากำลังสื่อสารด้วยคือใคร?
- ปัญหาของเขาคืออะไร?
- ความเจ็บปวดของเขาคืออะไร?
- สิ่งที่เขาต้องการคืออะไร?
- เป้าหมายของเขาคืออะไร?
- เวลาว่างเขาชอบทำอะไร?
- เขามาเจอกับ Copywriting ของคุณตอนไหน?
- Influencer ที่เขาติดตามคือใคร?
ยิ่งตอบได้ละเอียดเท่าไหร่ คุณยิ่งสื่อสารได้เฉียบคมมากยิ่งขึ้น เฉียบบบบ!
และทุกครั้งที่คุณเขียน ให้คิดในหัวอยู่เสมอว่า คุณกำลังเขียนให้คนนี้อ่านอยู่ คนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น!
แต่เดี๋ยวก่อนนะเอิร์ธ ถ้าเขียนให้ 1 คนอ่าน แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ เขาจะอ่านสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสารหรอ
คำตอบคือ อ่านครับ และอ่านเยอะกว่าเดิมด้วย

คุณเคยได้ยินเรื่องเครื่องดื่มที่สร้างขึ้นมาเพื่อคนคนเดียวไหม?
เครื่องดื่มนั้นชื่อว่า Vesper Martini ซึ่งสร้างมาเพื่อผู้ชายคนเดียว นั่นคือ “James Bond”
แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นเครื่องดื่มประจำบาร์ทั่วโลกไปแล้ว
ใครสายค็อกเทลต้องเคยดื่มสักครั้งแน่นอน
ในการเขียนก็เหมือนกัน การที่คุณสื่อสารถึง 1 คนเท่านั้น จะทำให้คุณสื่อสารได้เฉียบคม และมันจะมีคนที่มีปัญหาคล้าย ๆ กัน ถูกดึงดูดให้เข้ามาฟังคุณอีกเพียบ โคตรเจ๋งงง
หลังจากรู้เขาแล้ว ต่อมาก็คงไม่พ้นรู้เรา รู้เรานี่ต้องรู้อะไร แล้วถ้าเราไม่รู้แล้วใครจะรู้ ไปหาคำตอบใน Part ต่อไปเลยค้าบบบ 5555+
รู้เรา เราไม่รู้แล้วใครจะรู้
รู้เราในที่นี้หมายถึง รู้ว่าเราจะนำเสนออะไรให้คนอ่าน มันคือ Part ข้อมูลของเราเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายอาหารสุนัขเหมือนเดิมละกัน คำถามคือ
- สินค้าหรือบริการของเราคืออะไร? (What)
- องค์ประกอบของมันคือ? (Feature)
- ช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ยังไงบ้าง? (Benefit)
- ช่วยด้วยวิธีการแบบไหน? (How)
- ราคาเท่าไหร่? (How much)
- มีคนเคยใช้มาก่อนไหม รีวิวเป็นไงบ้าง? (Review)
สิ่งพวกนี้คือข้อมูลที่เราต้องเตรียมให้แน่นมากพอ เพื่อตอบทุกคำถาม ปิดทุกข้อสงสัยของลูกค้าให้หมด ไม่ว่าจะงงอะไร ก็ตอบได้หมด เก่งมั้ยล้าา 5555+
เพราะงั้นการ Capture ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ทุกคนสามารถเล่าเรื่องหรือสื่อสารได้ไม่ยากเลย เพียงแค่ต้องหมั่นบันทึกเรื่องราวหน่อย อย่างเอิร์ธเองก็ใช้ Notion สร้างเป็น Second Brain เพื่อช่วยบันทึกข้อมูลต่าง ๆ
แอบขายของนิดนึง 555+ หากสนใจ Notion Second Brain คลิกที่นี้ได้เลยย
หลังจากที่คุณมีข้อมูลครบถ้วนมากพอแล้ว ส่วนต่อไปคือเรื่องของการออกแบบการสื่อสาร
ผมใช้คำว่าออกแบบเพราะว่ามันไม่ได้ต่างจากกระบวนการ Design อื่น ๆ เลย
คือคุณต้องเข้าใจจิตวิทยา เข้าใจความเป็นมนุษย์ มีข้อมูลมากพอ และนำมาออกแบบว่าจะสื่อสาร เล่าเรื่อง หรือเขียนยังไงให้ผู้อ่านลงมือทำในสิ่งที่เราต้องการ เหมือนคุณกำลังร่ายมนต์อยู่เลย ของแทร่
และ Part ต่อไปเอิร์ธจะมาพูดถึงโครงสร้างที่ Copywriter ทั่วโลกใช้เหมือนกัน ๆ เอาจริงโครงสร้างมันก็ไม่พ้นไปจากนี้เท่าไหร่
โครงสร้างการเขียนที่ได้ผลทุกยุคทุกสมัย

หากพูดถึงโครงสร้างการเล่าเรื่องหรือการเขียน โครงที่ทุกคนคุ้นเคยมากที่สุดคงไม่พ้น
- บทนำ
- เนื้อเรื่อง
- สรุป
ซึ่งจริง ๆ ถามว่ามันใช้ได้ไหม? ก็ได้แหละ แต่มันอาจจะไม่เวิร์คสำหรับการสื่อสารเชิงโน้มน้าว
อ่าว ทำไมเป็นงั้นไป 555+
เหตุผลเพราะว่าการสื่อสารแบบนี้มันไม่ได้ตรงตามหลักจิตวิทยาของมนุษย์ ไม่ได้ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้คนอ่านตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง
ซึ่งมันขัดกับหลักของ Copywriting นั่นอง
แล้วโครงสร้างที่มันได้ผลทุกยุคทุกสมัย Copywriter แทบจะทุกคนก็อิงโครงสร้างนี้กันมาหมดเลยก็คือ
- Hook (ล่อ)
- Body (เล่า)
- CTA (นำเสนอ)
เดี๋ยว ๆ มันก็มีแค่ 3 ส่วนเหมือนกันหนิ ใช่ครับมันมีแค่นี้แหละ แต่ที่ต่างกันเลยมันคือวิธีคิดที่อยู่ภายในนั้น เดี๋ยวเอิร์ธจะมาลงรายละเอียดเพิ่มขึ้นให้ครับ
1. Hook หมัดเด็ดกระชากความสนใจ

ความสนใจมีราคาที่ต้องจ่าย ถ้าคุณทำให้เขาสนใจคุณไม่ได้ = ไม่ได้อะไรเลย
เพราะงั้น Hook คือประโยคเปิด หรือสิ่งแรกที่เขาจะได้เห็น มันต้องดึงดูดเขาให้เข้ามาในเรื่องราวของคุณให้ได้
หากเป็นการเขียนมันก็คือ Headline
หากเป็น Video มันก็คือภาพ Thumnail, ชื่อคลิป และประโยคเปิดคลิปของคุณ
หากเป็น Social post มันก็คือ (รูปภาพ + Text ในภาพ + Headline ใน Post ของคุณ)
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ สิ่งแรกที่ลูกค้ารับรู้ นั่นแหละคือ Hook (ถ้า Hook ไม่ได้ก็จบค้าบ ไม่ได้คุยกันต่อ)
เพราะงั้นนักเขียนหรือ Copywriter เก่ง ๆ จะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก ๆ ผมให้สิ่งนี้สำคัญ 80% เลยของงานเรา สำคัญกว่าการเขียน Content อีก 555+
เพราะถึงคุณจะเขียน Content ดีขนาดไหน แต่ไม่มีใคร Click อ่าน ทำคลิปเล่าเรื่องดีมาก แต่ไม่มีคนกดดู ทุกอย่างก็จบ
Hook เลยสำคัญมาก ๆ แต่ถ้า Hook คุณดี แต่ Content ห่วย มันก็จะเรียกว่า Clickbait นั่นเอง
คือหลอกให้กดมา (เพราะ Hook โหดมาก) แต่เนื้อหากลับไม่ได้เรื่อง แบบนี้ก็ไม่แนะนำให้ทำนะครับ
องค์ประกอบของ Hook ที่ดี
- มีตัวเลข
- มีความเป็นพาดหัวข่าว
- เกี่ยวข้องกับผู้อ่าน
- ใช้คำที่เร้าอารมณ์
- สื่อสารประเด็นเดียว เฉพาะเจาะจง
- Common ทำให้เห็นภาพและเข้าใจง่ายที่สุด ตัดศัพท์ Technique ออกไปหมด
ตัวอย่าง Hook ที่ดี
- “ทำรายได้ 10,000 บาท จากการขายออนไลน์ โดยไม่มีสินค้าแม้แต่ชิ้นเดียว”
- “เปลี่ยนเงิน 1,000 บาท ให้กลายเป็น 100,000 บาท ภายใน 30 วัน ด้วยวิธีที่ใคร ๆ ก็ทำได้”
- “เผยเคล็ดลับการลงทุนที่คนรวยไม่เคยบอกใคร”
- “5 เหตุผลที่คุณยังไม่รวย ทั้งที่ทำงานหนักมาตลอด”
- “จากพนักงานเงินเดือน สู่เจ้าของธุรกิจล้านบาทในเวลาแค่ 6 เดือน”
- “หมดปัญหาหน้าสิว ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่หมอไม่เคยบอก”
- “รู้ไหม? ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก”
- “3 นาทีที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล”
- “ทำไม? นักลงทุนมือใหม่ 90% ถึงขาดทุนในปีแรก”
- “เปิดบ้านสุดหรู! ที่สร้างจากเงินเดือนแค่ 25,000 บาท”
2. Body เล่าเรื่องยังไงให้คนอิน

ในส่วนนี้คือพาร์ทต่อมาหลังจากที่คุณ Hook คนเข้ามาได้แล้ว คือการพาเขาเข้าไปสู่เรื่องราวที่เราเตรียมไว้ ประเด็นสำคัญคือ Body ควรจะสอดคล้องกับ Hook หากเขียนว่าจะบอกเคล็ดลับอะไรกับลูกค้า Body ก็ควรจะเล่าเรื่องนั้น ไม่ใช่มาถึงก็ขายของเลย 555+
เพราะงั้นในส่วนของ Body ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งพูดตรง ๆ เลยว่ามันไม่มีสูตรตายตัวว่าควรจะเล่ายังไง
แต่เอิร์ธของพูดในมุมของการเขียน Copywriting เพื่อขายสินค้าแล้วกัน หลัก ๆ ในส่วนของ Body จะประกอบไปด้วย
- Content (เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Hook)
- Benefit (ประโยชน์ที่จะได้จากสินค้า)
- Proof (รีวิวหรือผลลัพธ์ที่ได้)
- Offer (ของแถมพิเศษที่จะมอบให้)
หากคุณไม่ได้เขียนเพื่อขายสินค้า ต้องการจะเขียนเพื่อเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง ในส่วน Body ก็จะเหลือแค่ Content อย่างเดียวเลยครับ ง่าย ๆ แค่นี้เลย แต่อย่างที่บอกไปมันไม่มีผิดไม่มีถูกเนอะ และการจะ Storytelling มันก็ทำได้หลายรูปแบบมาก ๆ
เพราะงั้นในบทความนี้เอิร์ธเน้นมาอธิบายโครงสร้าง ส่วน Case study ต่าง ๆ จะมาเล่าเพิ่มในบทความต่อ ๆ ไปครับ
3. CTA ถ้าคุณไม่บอกให้เขาทำ เขาก็จะไม่ทำอะไรเลย

พูดแล้วมันอาจจะเหมือนผมพูดเล่น แต่มันคือเรื่องจริงครับ 555+
ถ้าคุณไม่บอกให้ผู้ฟัง ผู้อ่าน หรือลูกค้าทำอะไรสักอย่างเขาก็จะไม่ทำอะไรเลย เช่นถ้าคุณขายของ แต่คุณไม่บอกให้เขาซื้อ หรือไปซื้อที่ไหน จ่ายเงินตรงไหน เขาก็จะแค่ฟังคุณแล้วก็เดินจากไป
เพราะงั้น CTA หรือ Call to action มันคือสิ่งที่คุณต้องคิดตั้งแต่แรก ๆ แล้วว่าอยากให้ผู้อ่านทำอะไร
- ซื้อสินค้า
- คอมเมนต์
- แชร์
- กดติดตาม
ทั้งหมดนี้คือ Call to action ทั้งหมดเลย
และสิ่งที่คุณต้องทำคือ เขียนมันออกมา
ตัวอย่าง Copywriting ตามโครงสร้าง Hook Body CTA
[HOOK]
“จาก ‘เขียนขายไม่เป็น’ สู่ ‘ยอดขาย 6 หลัก’ ภายใน 45 วัน ด้วยทักษะ Copywriting ที่ใครก็เรียนได้”
[CONTENT]
ผมเคยเป็นเหมือนคุณ… ลองขายของออนไลน์มาทุกอย่าง ทั้งเสื้อผ้า อาหารเสริม คอร์สเรียน แต่ยอดขายแทบจะเป็นศูนย์ เพราะไม่รู้จะเขียนข้อความขายยังไง
จนกระทั่งวันนึง ผมได้เรียนรู้เทคนิค Copywriting จากเซียนตัวจริง และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตผมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
[BENEFIT]
คอร์ส “Pro Copywriter” จะช่วยให้คุณ:
✓ เขียนข้อความขายที่โดนใจลูกค้าได้ภายใน 7 วัน
✓ เข้าใจจิตวิทยาการขายที่ทำให้ลูกค้ากดซื้อทันที
✓ สร้างแบรนด์ให้น่าเชื่อถือด้วยการเล่าเรื่อง
✓ เพิ่มยอดขายได้อย่างน้อย 300% ในเดือนแรก
✓ มีอิสระทางการเงิน ทำงานที่ไหนก็ได้ในโลก
[PROOF]
“เมื่อก่อนขายของไม่ออกเลย พอได้เรียนคอร์สนี้ ยอดขายเดือนแรกพุ่งเป็น 180,000 บาท” – คุณนัท “
จากยอดวิวหลักร้อย ตอนนี้คอนเทนต์ผมมียอดวิวเป็นหลักแสนทุกชิ้น” – คุณเบน
“ลงทุนไป 9,900 บาท แต่สร้างรายได้กลับมา 250,000 บาทในเดือนเดียว” – คุณมิ้นท์
[OFFER]
ราคาปกติ 6,990 บาท
⚡️ Early Bird พิเศษเหลือเพียง 3,990 บาท 🎁
ฟรี! Template การเขียน Copy มูลค่า 1,290 บาท 🎁
ฟรี! Consulting 1 ต่อ 1 มูลค่า 2,900 บาท รวมมูลค่ากว่า 4,190 บาท
[CTA]
👉 สมัครตอนนี้ รับส่วนลดทันที 10% ลิงก์สมัคร: http://www.example.com/pro-copywriter (เหลือที่นั่งอีกเพียง 20 ที่นั่งสุดท้าย)
สรุป: Copywriting ไม่ใช่แค่การเขียน แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน
เป็นไงกันบ้างครับ หลังจากที่ได้อ่านมาขนาดนี้ หวังว่าทุกคนคงจะเข้าใจ Copywriting มากขึ้นนะครับ 5555+
ผมอยากจะสรุปทิ้งท้ายให้ฟังว่า Copywriting ไม่ใช่แค่การเขียนขายของธรรมดา ๆ แต่มันคือศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้ทั้งข้อมูล ความเข้าใจคน และโครงสร้างการเขียนที่เหมาะสมมาประกอบกัน
โดยเฉพาะในยุค 2025 ที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ผ่านการเขียนยิ่งมีความสำคัญ
สิ่งที่อยากให้ทุกคนจำไว้เลยก็คือ:
- รวบรวมข้อมูลให้แน่น ทั้งเรื่องของกลุ่มเป้าหมาย (รู้เขา) และสิ่งที่เรากำลังจะนำเสนอ (รู้เรา)
- ใช้โครงสร้าง Hook-Body-CTA ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลมาทุกยุคทุกสมัย
- ลงมือเขียน ทดลอง และเรียนรู้จากผลลัพธ์ไปเรื่อย ๆ
และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าทักษะนี้ต้องฝึกฝนครับ ไม่มีใครเก่งตั้งแต่วันแรก ผมเองก็ผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะมาก กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
ถ้าใครอยากเริ่มต้น ก็ลองเอาความรู้จากบทความนี้ไปลองใช้ดูครับ แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ รับรองว่าถ้าทำได้ตามนี้ ยอดขายพุ่งแน่นอน! 🚀
เริ่มต้นฝึกฝนทักษะ Copywriting ไปพร้อมกัน

ล่าสุดผมได้ตัดสินใจทำ E-Book ขึ้นมาชื่อว่า The Art of Copywriting ซึ่งเป็นคู่มือสอนเขียน Copywriting โดยเฉพาะ มาแจกฟรี!
คลิกที่นี้เพื่อลงทะเบียนรับ E-Book ได้เลยกรอกแค่อีเมลเท่านั้น
https://theartofcopywritingebook.framer.website/
คิดเห็นยังไงเกี่ยวกับบทความนี้ Comment บอกเอิร์ธได้เลยนะค้าบบ 😚

Leave a comment