
ผมเขียนบทความนี้โดยคิดว่ากำลังเขียนให้ตัวเองเมื่อ 5 ปีที่แล้วอ่าน เด็กหนุ่มที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ไม่มีเงินทุน ไม่มีคนช่วยทำ ต้องทำทุกอย่างเอง ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง มีหลายอย่างต้องทำเต็มไปหมด
หากมีใครสักคนเดินมาบอกผมตอนนั้นว่า ผมสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ด้วยตัวคนเดียวแบบ Solopreneur หรือ One Person Business โดยไม่ต้องมีเงินทุนเยอะ ฝึกฝนสกิลที่สำคัญก็พอ (ไม่ต้องเก่งทุกอย่าง) ผมคงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่ตัวผมตอนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามันทำได้จริง ๆ ผมเลยตั้งใจมาก ๆ ที่จะเขียนคู่มือสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำ Digital business แบบ Solopreneur
หรือที่เรียกแบบไทย ๆ ว่านักธุรกิจฉายเดี่ยว เพื่อให้เขาไม่ต้องลองผิดลองถูกเองแบบผม (ต่อไปนี่ผมขอใช้คำว่า Solopreneur เป็นหลักนะครับ)
บทความนี้เอิร์ธเขียนไว้ยาวม๊ากกกก ใช้เวลาอ่านประมาณ 10-15 นาทีเลย
ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันครับ
เนื้อหาทั้งหมดที่คุณจะได้รับ:
- การเติบโตขึ้นของ Solopreneur ทั่วโลก
- Solopreneur คืออะไร? ต่างจากนักธุรกิจทั่วไปอย่างไร?
- ความแตกต่างจาก Entrepreneur ทั่วไป
- ตัวอย่าง 5 Model ธุรกิจแบบ Solopreneur ที่สร้างรายได้มหาศาล
- Case Studies: Solopreneurs ที่ประสบความสำเร็จ
- แชร์ประสบการณ์จริงของผม จากเด็กวิศวะจบใหม่ สู่ Solopreneur
- Modern Stack Skills ที่ควรมี
- Tech Stacks สำคัญที่เหล่า Solopreneur ต้องมี
- สรุป: เส้นทางสู่การเป็น Solopreneur ยุคดิจิทัล
- เริ่มต้นเป็น Solopreneur ด้วยกันกับผม
การเติบโตขึ้นของ Solopreneur ทั่วโลก

ผมไปนั่ง Research ข้อมูลว่าว่าเทรนด์ของ Solopreneur เป็นอย่างไรบ้าง นี่คือสิ่งที่พบ
ข้อมูลจากรายงานของ Intuit QuickBooks แสดงให้เห็นว่าธุรกิจที่ไม่มีพนักงานในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 1997 เป็น 84% ในปี 2020 และคาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงเพิ่มสูงขึ้นในปี 2024
หากให้คิดถึงเหตุผลที่ทำให้เติบโตขึ้นขนาดนี้ก็คงจะมาจาก
- การระบาดของโควิด ทำให้คนเริ่มหารายได้เสริมมากขึ้น
- มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึง AI ที่ทำให้ Solopreneur ทำงานได้ง่ายขึ้น
- หลายคนมองหาความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน และต้องการมีอิสระ ซึ่งทำให้ solopreneurship ดูน่าสนใจมากขึ้น
ผมคิดว่าทุกคนที่กดเข้ามาอ่านบทความนี้คงรู้สึกสนใจ และอยากเริ่มต้นเป็น Solopreneur กันแล้ว เพราะงั้นมาเข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่า
บทความนี้ยาวหน่อย ใช้เวลาอ่านประมาณ 10-15 นาที ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันที่ Solopreneur คืออะไร? ต่างจากนักธุรกิจทั่วไปยังไงกันครับ
Solopreneur คืออะไร? ต่างจากนักธุรกิจทั่วไปอย่างไร?

Soloprenuer คือ เจ้าของธุรกิจที่เริ่มต้นและดำเนินธุรกิจด้วยตัวคนเดียว โดยใช้เทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ มาช่วยทำงาน โดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ
(แต่ก็มีหลาย ๆ คนที่ใช้วิธีจ้าง Freelance หรือ Part-time เอา)
แล้วมันต่างจากนักธุรกิจทั่วไปยังไง? ข้อแตกต่างที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือทำคนเดียว 555+
ใช่ครับ มันมีแค่นี้แหละ เพราะ Solopreneur ก็คือการทำธุรกิจรูปแบบหนึ่ง
เพียงแค่ทำคนเดียว + ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยก็เท่านั้นเอง
ถ้าให้ list ลักษณะสำคัญ ๆ ก็จะได้ประมาณนี้
- เป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ
- มี Personal Branding
- เน้นสร้างระบบ Automation
- ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล
- เน้นสร้างสินค้าที่สร้างเงินแบบ Passive Income
ความแตกต่างจาก Entrepreneur ทั่วไป

Solopreneur
- เน้นการสร้างระบบ Automation
- ทำงานคนเดียวหรือจ้าง Freelance
- ใช้เงินลงทุนน้อย
- โครงสร้างยืดหยุ่น
- เน้นคุณภาพชีวิตและอิสรภาพ
- สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
Entrepreneur
- เน้นการขยายธุรกิจใหญ่
- จ้างพนักงานประจำ
- ต้องการการลงทุนสูง
- มีโครงสร้างองค์กรชัดเจน
- เน้นการเติบโตของบริษัท
- มักจะต้องมี office หรือหน้าร้าน
เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นแล้ว ว่า Solopreneur คืออะไร
ต่อไปมาพูดถึงรูปแบบการสร้างรายได้หรือ Business model กันบ้างดีกว่า
ผมได้ทำการสรุปออกมาเป็น 5 หมวดใหญ่ ๆ ที่เห็นบ่อยจาก Solopreneur ทั้งในไทยและต่างประเทศครับ
ตัวอย่าง 5 Model ธุรกิจแบบ Solopreneur ที่สร้างรายได้มหาศาล
การสร้างรายได้ของ Solopreneur นั้นมีหลากหลายมาก ๆ และก็ไม่จำเป็นต้องมาจากช่องทางเดียวด้วย
1 คนอาจทำหลากหลายโมเดลเลยก็ได้ งั้นมาเริ่มดูไปทีละอันเลยครับ
1. Digital Products
สิ่งนี้ Solopreneur แทบจะทุกคนต้องมีครับ ย้ำว่าต้องมี 555+ มันคือการสร้างสินค้าของตัวเองขึ้นมาเพื่อขายไม่ว่าจะเป็น
- Online Courses
- E-books
- Templates
- Digital file download
ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะถนัดทำ Digital Products แบบไหน อย่างเอิร์ธก็จะถนัดในเรื่องของ
การใช้งาน Notion ก็เลยเลือกขายตัวของ Notion Template
ใครถนัดสอนก็อาจจะทำตัวของ Online Course ใครถนัดเขียนก็ทำ E-books
แต่เอิร์ธแนะนำว่ายังไงก็ควรจะมีสัก 1 อย่าง เพราะมันคือสินค้าของเราเอง ซึ่งต้นทุนการผลิตของมันต่ำมาก ผลิตครั้งเดียวสามารถขายซ้ำได้เรื่อย ๆ ด้วย แจ่มมากก ><
2. Knowledge Business
อันนี้สำหรับสาย Expert business หรือเหล่าผู้เชี่ยวชาญ โค้ช และที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ
หากคุณเป็นคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านไหนสักด้าน
ก็สามารถหารายได้จากช่องทางนี้ได้ครับ
- Coaching
- Consulting
- Online Teaching
- Workshops
- Webinars
- Community
โมเดลนี้ก็เรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก หลัก ๆ ก็คือเป็นการแก้ปัญหาให้ลูกค้า
ผ่านความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเรานั่นเอง
อย่างตัวเอิร์ธมีทักษะในเรื่องของ Digital Marketing และ Copywriting ก็สามารถมารับงานเป็นที่ปรึกษา 1 on 1 ได้
ส่วนเรื่องรายได้ก็แล้วแต่จะตั้งราคากันเลย บ้างก็ตั้งเป็นเรทชั่วโมง บ้างก็รับเป็น Package ดูแลกันยาว ๆ เป็นรายเดือนก็มีครับ
หรืออาจจะจัดเป็นสัมมนาอมรบด้านต่าง ๆ ทั้งอบรมทั่วไป หรือจะเจาะกลุ่มไปที่องค์กรก็ได้ สุดยอดไปเลยยยย
3. Content Creation
โมเดลนี้ใกล้ตัวเข้ามาอีก เพราะทุกคนก็น่าจะรู้จักเอิร์ธจากคอนเทนต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะมาจาก Instagram, Youtube หรือ Facebook ก็ตาม
ซึ่งรายได้ของช่องทางนี้ก็ตามชื่อเลยครับ มาจากการทำคอนเทนต์ คำถามคือทำคอนเทนต์ได้เงินได้ยังไง
หลัก ๆ ก็คงมาจากค่าโฆษณาตามช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- Blogging
- YouTube Channel
- Podcast
- Newsletter
- Social Media Content
หลาย ๆ คนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำ Digital Products อะไรดี หรือไม่มั่นใจว่าความรู้ของตัวเองจะไปหารายได้จากการเป็นที่ปรึกษาได้ยังไง
เอิร์ธก็แนะนำให้เริ่มต้นจากการทำคอนเทนต์ก่อนครับ
เพราะเอาจริง ๆ แล้ว ไม่ว่าคุณจะทำ Digital Products หรือจะทำ Knowledge Business ยังไงก็ต้องทำคอนเทนต์ด้วยครับ ดังนั้นพลาดการทำคอนเทนต์ไม่ได้จริง ๆ
4. Digital Services
ส่วนใหญ่แล้วก่อนจะเริ่มต้นมาเป็น Solopreneur มาทำธุรกิจที่มีระบบ มีเทคโนโลยีต่าง ๆ
ก็มักจะเริ่มต้นมาจากการเป็น Freelance ก่อน
เพราะงั้น Digital Service มันคือโมเดลธุรกิจที่ต่อยอดมาจากการเป็น Freelance นั่นเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือ การรับงานตามทักษะและความสามารถที่เรามี ตัวอย่างเช่น
- Freelance Writing
- Graphic Design
- Web Development
- Digital Marketing
- Social Media Management
ใครเขียนเก่งก็รับงานเขียน ใครเก่งเรื่องทำ Website ก็รับทำ Website
รับงานเอง ปิดงานเองแบบ Solopreneur เพียงแค่มีระบบต่าง ๆ เข้ามาช่วยให้ Workflow การทำงานดีกว่าการเป็น Freelance ทั่วไปเท่านั้นเอง
5. E-commerce
ที่ผ่านมาเป็นสินค้าดิจิทัลและบริการ แต่สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการทำ Physical Products หรือสินค้าที่จับต้องได้ แต่หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า สินค้าแบบนี้มันมีต้นทุนการผลิตที่สูง Solopreneur จะทำได้ด้วยหรอ?
จริง ๆ แล้วมันทำได้ครับ แต่ต้องมีการพลิกแพลงนิดหน่อย
อันนี้เป็นตัวอย่างหลัก ๆ ที่มักจะเห็นกัน
- Print on Demand เป็นงานด้านออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบลายเสื้อผ้า ลายแก้ว หรือรูปภาพต่าง ๆ ไม่ต้องสต๊อกสินค้า
- Dropshipping คล้าย ๆ กับ Affiliate คือการไม่ต้องผลิตสินค้าเอง เน้นหาสินค้ามาแล้วทำการตลาดให้ เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ ซัพพลายเออร์จะเป็นคนจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าเอง
- Niche Products & Handmade Products อันนี้จะเป็นสินค้าที่ต้องผลิตเองบ้างแล้วครับ
แต่ก็ไม่ได้เน้นผลิตแบบ Mass Production หรือผลิตมาก ๆ อยู่ดี
จบไปแล้วสำหรับโมเดลธุรกิจของเหล่า Solopreneur ที่ผมคัดมาหลัก ๆ 5 กลุ่มด้วยกัน
เอาจริง ๆ ผมว่ามันก็ค่อนข้างครอบคลุมแล้ว
หากใครมีโมเดลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ Comment บอกผมด้านล่างบทความได้เลยนะครับ ><
Part ต่อไปผมจะมาพูดถึง Case Study ของเหล่า Solopreneur
ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกให้ฟังกันครับ ไปกันต่ออออ
Case Studies: Solopreneurs ที่ประสบความสำเร็จ

เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนผมได้รู้จักกับ Dan Koe ซึ่งเป็น Solopreneur ต่างประเทศ เขาเรียกตัวเองว่าเป็น One person business
ประเด็นคือ Dan Koe เป็น Solopreneur ที่โหดมากกกก ปัจจุบัน Dan มีผู้ติดตามใน IG ประมาณ 1.6 ล้านคน ใน Youtube ประมาณ 9 แสนคน เมื่อปี 2024 เขาทำเงินได้ 4.2 ล้านดอลลาห์ หรือประมาณ 140 ล้านบาทต่อปี สุดจัด
ทีนี้ทุกคนคงอยากรู้แล้วว่า Dan มีโมเดลธุรกิจอะไรถึงทำเงินได้ขนาดนี้
หลัก ๆ มาจากการขาย Digital Products ที่เป็น Course online สอนด้านการเขียนที่มีชื่อว่า The 2 Hour Writer
คอร์สสอนการทำธุรกิจอย่าง The One-Person Business Launchpad และ Mental Monetization
มีหนังสือที่ชื่อว่า The Art of Focus ซึ่งสร้างยอดขายถล่มทลายตั้งแต่พึ่งเปิดตัว และก่อนหน้านี้เขาเคยรับงานที่ปรึกษาด้านการตลาดและการสร้าง Personal brand ด้วย
(แต่เดี๋ยวนี้เลิกไปแล้ว เพราะขายคอร์สน่าจะสบายกว่า 555+)
บทความนี้ไม่ได้ sponsor จาก Dan แต่อย่างใด เพียงแค่ผมสนใจแนวทางการทำธุรกิจของเขาและผมก็กำลังเดินตามรอยอยู่เช่นกัน 555+

นอกจากนี้แนวทางในการทำ Content ของ Dan คือเน้นไปที่ทักษะด้านการเขียนแบบสุด ๆ เรียกว่าฉีกทุกตำราการตลาดเลยก็ว่าได้
หากคุณเข้าไปส่อง IG ของ Dan จะพบว่าหน้า Feed ของเขาจะมีแต่ภาพขาวดำ และมีตัวหนังสือเต็มไปหมด ใคร ๆ ก็บอกว่า IG ต้องเน้นที่รูปภาพ Video ทำให้ดูสวย
แต่ Dan ไม่สน เขาจะเน้นส่งมอบคุณค่าผ่านการเขียนเป็นหลัก และยอดผู้ติดตตามหลักล้านก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามัน Work
ต่อมาผมจะเล่า Case study ที่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือเรื่องของผมเอง 555+
ผมาจะแชร์ประสบการณ์จากเด็กวิศวะจบใหม่ สามารถสร้างรายได้ 6 หลักจากการเป็น Solopreneur ได้ยังไง
ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันต่อครับ
แชร์ประสบการณ์จริงของผม จากเด็กวิศวะจบใหม่ สู่ Solopreneur

ช่วงหลายวันที่ผ่านมามีคนเข้ามาถามผมเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจเยอะมาก อยากเข้าใจเส้นทางการทำธุรกิจของผมว่ามันคืออะไร มีโมเดลการหารายได้อย่างไร
และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจไม่ทำงานประจำเป็นวิศวกร แล้วเลือกที่จะเป็น Solopreneur ตั้งแต่เรียนจบ
“ตอนจบวิศวะใหม่ ๆ ผมมีทางเลือกสองทางคือ… สมัครงานบริษัทใหญ่ด้วยเงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท หรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง”
ผมเลือกทางที่สอง เพราะ:
- อยากมีอิสระในการทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้
- ต้องการสร้างผลงานที่เป็นของตัวเอง
- เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ไม่จำกัด
- ชอบการเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆ
ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของ freedom มีอิสระด้านเวลา สถานที่ และเงิน ดังนั้นเส้นทางการเป็น Solopreneur นั้นตอบโจทย์ผมมากกว่าการทำงานประจำ
Solopreneur ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นรูปแบบธุรกิจที่จะกลายเป็นปกติใหม่ในอนาคต ถ้าคุณกำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการทำธุรกิจ นี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น
Model ธุรกิจที่ผมเลือกคือ Digital Products

อย่าลงแข่งในสนามที่เราไม่มีทางชนะ ให้เล่นในเกมส์ที่เราถนัด นี่คือความเชื่อของผมในตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ผมรู้ว่าตัวเองอยากเป็น Solopreneur แต่ผมไม่ได้อย่าทำ Content เยอะหรือเป็น Content Creator ( ณ เวลานั้นนะครับ 5555+ )
ผมเลยกลับมาดูว่าตัวเองมี Value หรือคุณค่าอะไรบ้าง ที่จะเอามาเปลี่ยนเป็น Digital Product ได้ ซึ่งสิ่งที่ผมพบคือ ผมใช Notion มาช่วยจัดการงานจัดการชีวิตตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้ว
และนี่คือจุดที่ผมตัดสินใจเริ่มทำ Notion template ขาย และกลายมาเป็น Notion Second brain OS ซึ่งเป็นรายได้หลักของผมทุกวันนี้เลย (แชร์ Insight สุด ๆ เลยนะเนี่ยยย)
แนวทางในการหารายได้ของผมแบบเล่าสั้น ๆ ก็คือ
- เปิด Page facebook
- ทำ Content นิดหน่อยเกี่ยวกับ Productivity และ Notion
- แชร์ลงกลุ่ม Facebook
- เริ่มมีผู้ติดามหลักร้อยหลักพัน
- ทำ Ads โฆษณามา 1 ตัว (ใช้ทักษะ Copywriting)
- ทำ Landing page ขึ้นมา (เพราะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ)
- ยิง Ads ใน Facebook ด้วยเงิน 100 บาท
- Test ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอ Ads ที่ขายได้
- สร้างยอดขายมาจนถึง 6 หลัก
ในช่วงแรกหลาย ๆ อย่างยัง Manual อยู่ ผมต้องคอยตอบแชทเอง ส่ง Template ไปให้ลูกค้าเอง แต่พอเริ่มมีรายได้มากยิ่งขึ้น ก็เริ่มนำระบบ Automation เข้ามาช่วย ซึ่งผมจะบอกใน Part ต่อ ๆ ไป รออ่านได้เลย
อันนี้คือเล่าแบบเร็วสุด ๆ 5555+ แต่จริง ๆ มันมีรายละเอียดมากกว่านี้ เดะจะเล่าในบทความต่อ ๆ ไป เพราะงั้นอย่าลืมสมัครรับ Newsletter ไว้ด้วยนะค้าบบ
เอาล่ะ ทุกคนคงเริ่มเห็นภาพมากขึ้นและอยากเริ่มต้นเป็น Solopreneur กันบ้างแล้ว
ในส่วนต่อไปผมจะมาพูดในเรื่องของ Modern Stack Skills หรือทักษะสำคัญที่ควรจะมีเพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจแบบ Solopreneur กันบ้างครับ
Modern Stack Skills ที่ควรมี
ผมจะบอกตรง ๆ ว่า Modern stack ที่แท้จริงสำหรับ Solopreneur มันไม่ใช่แค่ชุดทักษะ แต่มันคือ Operating System ของคุณ
เพราะเราไม่สามารถสร้างธุรกิจได้จากทักษะใดทักษะหนึ่ง แต่มันเกิดจากการผนวกรวมกันของหลาย ๆ ทักษะ จนกลายเป็น System ที่ทำเงินได้ โดยหลัก ๆ มี 4 ตัวด้วยกัน…
- Writing OS (ทักษะการเขียน)
- Distribution OS (ทักษะการกระจาย Content)
- Monetization OS (ทักษะการสร้าง Product ที่ Scale ได้)
- Automation OS (ทักษะการสร้างระบบอัตโนมัติ)
เดี๋ยวผมจะลงรายละเอียดแต่ละตัวให้ครับ
1. Writing OS หา Digital DNA ของคุณ
ไม่ใช่เรื่องการเป็น Hemingway คนต่อไป แต่เป็นเรื่องของการพัฒนา Digital DNA ของคุณ เฉียบบบบ 5555+
Writing system ของคุณต้องมี องค์ประกอบหลัก 3 อย่าง:
- Unique Insight: ความสามารถในการเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้ามและอธิบายมันได้อย่างชัดเจน ซึ่งมาจากการสังเกตอย่างลึกซึ้งและการตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่
- Personal Voice: ไม่ใช่แค่เสียงธรรมดา แต่เป็นเสียงที่โดดเด่นจนผู้อ่านรู้ว่าเป็นคุณโดยไม่ต้องเห็นชื่อ
- Direct Response: ทุกประโยคต้องกระตุ้นบางสิ่งในตัวผู้อ่าน เช่น การตระหนักรู้ อารมณ์ การกระทำ ถ้าไม่สร้างผลกระทบ ตัดทิ้ง
ถ้าพูดตามตรงผมยกให้นี่คือทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้เลย สำหรับคนจะเป็น Solopreneuer
จากประสบการณ์ส่วนตัว การที่ผมสามารถสร้างรายได้ 6 หลักก็มาจากทักษะการเขียน
ผมเขียน Copywriting เพื่อขายสินค้าได้เฉียบคม ผมทำ Landing page ได้ดี
พวกนี้เป็นเรื่องทักษะการเขียนหมดเลย
และผมก็กำลังจะเปิดสอนทักษะนี้แบบจัดเต็มในคอร์ส Copywriting Made Simple สนใจคลิกไปอ่านรายละเอียดได้เลยครับ
2. Distribution OS
ทักษะนี้เป็นเรื่องของ Marketing แต่ผมอยากให้มองแบบนี้ครับว่า ทุก ๆ พื้นที่ ที่ Content เราเข้าไปถึง = อณาจักรของเรา ดังนั้นคุณต้องรู้จักใช้เครื่องมือ เพื่อกระจาย Content เช่น
- AI Integration: ใช้ AI เป็นพาร์ทเนอร์ในการช่วยคิดไอเดีย (เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ) เพราะสุดท้ายคุณภาพจริง ๆ เราจะเป็นคนสร้างเอง
- Content Ecosystem: สร้างระบบ Content ที่หล่อเลี้ยงตัวเองได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ 1 บทความ → กลายเป็น 1 คลิปยูทูป → กลายเป็น Short video 3 อัน → กลายเป็น Thread 5 อัน เป็นต้น
- Remixing: หนึ่งไอเดียต้องสร้างคอนเทนต์ได้เป็นร้อยชิ้น
ต้องฝึกบ่อย ๆ ครับ แต่พอทำได้แล้ว คุณจะผลิต Content ได้ไม่อั้น และทุก ๆ ที่จะเป็นอณาจักรของคุณ
3. Monetization OS
ธุรกิจของคุณต้องสร้างเงินได้แม้ตอนคุณหลับ แค่นี้เลยครับ 555+
- Digital Assets: สร้างครั้งเดียว ขายไม่จำกัด
- Production Line: สร้างระบบที่ผลิตผลลัพธ์ซ้ำได้
- High-Ticket: แก้ปัญหาที่ลูกค้ายอมจ่ายแพง
4. Automation OS
ปัญหาใหญ่ที่ผมเห็นคือ คนมักจะพยายาม automate ทุกอย่างตั้งแต่วันแรก พอระบบซับซ้อนเกินไป สุดท้ายก็พัง
ลองมาดูแต่ละองค์ประกอบ
- Minimal System
เริ่มจากการทำเองก่อน (manual) สัก 2-3 ครั้ง เพื่อเข้าใจกระบวนการจริง ๆ เช่น ถ้าคุณขาย digital product ให้เริ่มจากระบบง่ายๆ
- รับเงินผ่าน QR Code
- ส่งสินค้าด้วย email
- เก็บข้อมูลใน spreadsheet
เมื่อทำไปสักพัก คุณจะเห็นว่าส่วนไหนควร automate จริง ๆ
2. No-Code Tools
ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด แค่ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็น:
- Zapier เชื่อมระบบต่างๆ
- Stripe จัดการการขาย
- Notion เก็บ knowledge base
- WordPress ทำ Blog
- Framer ทำ Landing page
เลือกเครื่องมือที่:
- ใช้งานง่าย
- เชื่อมต่อกับระบบอื่นได้
- มีความน่าเชื่อถือ
3. Documentation
เขียนทุกขั้นตอนให้ชัดเจนจนคนอื่นทำตามได้
ตัวอย่างการทำ documentation
- Flow chart ของระบบ
- คู่มือการใช้งานแต่ละ tool
- Checklist สำหรับแต่ละกระบวนการ
ผมมักแนะนำให้เริ่มจากการ automate กระบวนการที่
- ทำซ้ำบ่อยที่สุด
- ใช้เวลามากที่สุด
- มีโอกาสผิดพลาดสูง
เมื่อระบบแรกทำงานได้ดี ค่อยๆ add ความซับซ้อนเพิ่ม
จำไว้ว่า automation ที่ดีควร
- ประหยัดเวลาจริง ๆ
- ลดความผิดพลาด
- ขยายตัวได้
- ดูแลรักษาง่าย
เพราะงั้นเริ่มต้นทำไปก่อนครับ เรื่องระบบ Automation เรามาทำเพิ่มทีหลังได้อยู่แล้วไม่ต้องห่วงเลย
สิ่งที่คุณควรทำคือให้ทั้ง 4 ส่วนนี้เชื่อมโยงกัน
- งานเขียนหล่อเลี้ยงการกระจายเนื้อหา
- การกระจายเนื้อหาขับเคลื่อนรายได้
- ระบบอัตโนมัติขยายทุกอย่าง
ในส่วนของ Modern stack skills ก็ประมาณนี้ครับ เดะผมอาจมีบทความที่ลงรายละเอียดกว่านี้เพิ่มเติม รออ่านได้เลย
ในส่วนต่อไปผมจะมาพูดถึง Tech stacks กันบ้าง จริง ๆ ทุกคนก็คงพอจะเห็นที่ผมพูดถึงไปแล้วบ้างตรงส่วนของเรื่อง Automation ว่ามี Software อะไรบ้างที่จำเป็น ซึ่งผมจะมาลงรายละเอียดให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นครับ
Tech Stacks สำคัญที่เหล่า Solopreneur ต้องมี

หลัก ๆ ที่ Solopreneur ควรจะมีโดยผมอิงโมเดลจาก Dan Koe (ได้ข้อมูลนี้มาจากแอดทอย Datarockie เลย ขอบคุณมากนะค้าบบ) รวมถึงที่ผมใช้เองทุกวันนี้ด้วย
- Website (เก็บ Content)
- Store (วาง Product & Service)
- Email (เป็น Own traffic)
- Social media (กระจาย Content)
โดยทั้ง 4 ตัวนี้ก็จะทำการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านระบบอัตโนมัตินั่นเอง
ดังนั้นหน้าที่หลัก ๆ ของ Solopreneur ก็คือการสร้าง Value เพื่อส่งมอบให้กับผู้ติดตามผ่านการทำ Content ซึ่งสกิลที่ต้องใช้ก็ไม่พ้นการเขียนนั่นเอง
- Website ก็ต้องเขียน
- Store ก็ต้องเขียน
- Emaill ก็ต้องเขียน
- Social media ก็ต้องเขียน
ที่นี้เรามาพูดถึง Software กันบ้างดีกว่า หลายคนน่าจะอยากรู้ว่าแล้ว Website ใช้ของอะไรดี? Store ล่ะจะวางขายของในไหน?
ผมจะมาแชร์เท่าที่ผมเห็นเยอะ ๆ ในหมู่ Solopreneur ต่างประเทศและที่ผมใช้ให้นะครับ
ตัวอย่าง Software ที่ Solopreneur ควรมี

- Website สำหรับเขียน Blog
- WordPress ใช้ในการทำ Blog ( Dan Koe + ผม ใช้)
- Ghost.org
- Wix
- Squarespace
- Framer (ผมใช้ในการทำ Landing page ขายสินค้า)
2. Store ใช้ในวางสินค้าและชำระเงิน
- Stripe (เป็น Payment gateway ที่ผมใช้ในการชำระเงิน)
- Stan store (Dan Koe ใช้)
- Gumroad (ต่างประเทศใช้ขาย Digital product เยอะมาก)
3. Email Marketing
- Sendfox
- Beehiiv (Dan Koe ใช้)
- ActiveCampaign
- Mailchimp
4. Social Media
อันนี้ผมว่าทุกคนน่าจะมีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำในช่องทางไหน
สำหรับ Dan Koe เขาจะโฟกัสหลัก ๆ คือ
- Youtube
- X (Twitter)
ของผมก็จะเป็น
- Youtube (กำลังจะเริ่มทำมากขึ้น)
และตัวพิเศษสุดท้ายก็คือระบบ Automation ที่ไว้ผูกทั้งหมดเข้าด้วยกัน
5. Automation
- Zapier (Dan Koe ใช้)
- Make
หลัก ๆ ก็ประมาณนี้ครับ นี่ยังไม่รวมโปรแกรมในการทำคลิป Video หรือทำรูปภาพอย่าง Canva อีก หรือมีกระทั่ง AI ต่าง ๆ ที่ใช้กันเช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude
ในช่วงเริ่มต้นก็ไม่จำเป็นต้องมีครบทุก Tech stack ก็ได้ครับ เริ่มจาก Social Media ทำคอนเทนต์ก่อน และขายของในช่องทาง Social media เป็นแบบ Chat commerce ง่าย ๆ ไปก่อนก็ได้ครับ (ตอนแรกผมก็ทำแบบนั้น)
หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่ม Tech stack อื่น ๆ เข้ามา เริ่มทำระบบ Automation แล้วคุณก็จะสามารถรันธุรกิจด้วยตัวคนเดียวง่ายขึ้นครับ สุดยอดไปเลยยย
สรุป: เส้นทางสู่การเป็น Solopreneur ยุคดิจิทัล
เนื้อหาแน่นมาก 555+ หากใครจำอะไรไม่ได้เลย มาทวนพร้อมกันที่ Part สรุปครับผม
การเป็น Solopreneur ไม่ใช่เรื่องของการมีทักษะที่เยอะที่สุด แต่เป็นเรื่องของการสร้างระบบที่ดีที่สุด จากทั้งหมดที่เราพูดคุยกันมา มีประเด็นสำคัญที่อยากสรุปให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้น
โอกาสที่เปิดกว้าง
- Solopreneur กำลังเติบโตขึ้นทั่วโลก จาก 76% เป็น 84% ในสหรัฐอเมริกา
- เทคโนโลยีและ AI ทำให้การทำธุรกิจคนเดียวเป็นไปได้ง่ายขึ้น
- ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนมาก เน้นที่การสร้างระบบและใช้เครื่องมือที่มีอยู่
โมเดลธุรกิจที่เป็นไปได้
- Digital Products – สร้างครั้งเดียว ขายได้ไม่จำกัด
- Knowledge Business – แปลงความเชี่ยวชาญเป็นรายได้
- Content Creation – สร้างรายได้จากการผลิตเนื้อหา
- Digital Services – ให้บริการด้านดิจิทัลแบบมีระบบ
- E-commerce – ขายสินค้าแบบไม่ต้องสต็อก
ระบบปฏิบัติการหลัก 4 ด้าน
- Writing OS – พัฒนาเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ สร้าง digital DNA
- Distribution OS – กระจายเนื้อหาอย่างชาญฉลาด ใช้ AI ช่วยผลิต
- Monetization OS – สร้างระบบรายได้ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
- Automation OS – เริ่มจากระบบง่ายๆ ค่อยๆ พัฒนา
เทคโนโลยีที่จำเป็น
- Website สำหรับรวบรวม Content
- Store สำหรับขายสินค้าและบริการ
- Email Marketing เพื่อสร้าง Own Traffic
- Social Media สำหรับกระจายเนื้อหา
- ระบบ Automation เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
ข้อแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น
- เริ่มจากสิ่งที่คุณถนัดและมีความรู้
- ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างตั้งแต่แรก เริ่มจากระบบง่ายๆ ก่อน
- ให้ความสำคัญกับการสร้าง Content และ Value
- ค่อยๆ พัฒนาระบบอัตโนมัติเมื่อธุรกิจเริ่มโต
การเป็น Solopreneur ไม่ใช่เส้นทางลัดสู่ความสำเร็จ แต่เป็นเส้นทางที่ให้อิสระในการสร้างธุรกิจตามแบบฉบับของคุณเอง เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาระบบให้แข็งแกร่งขึ้น
ที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำ เพราะประสบการณ์จริงจะสอนอะไรคุณได้มากกว่าการอ่านทฤษฎีอย่างเดียว
พร้อมแล้วหรือยังที่จะเริ่มต้นเส้นทาง Solopreneur ของคุณ?
เริ่มต้นเป็น Solopreneur ด้วยกันกับผม
ต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่อง Action plan กันบ้าง ว่าถ้าต้องการจะเป็น Solopreneur บ้างแล้ว ต้องทำอะไรบ้างทีนี้ ผมจะมาแชร์แบบ Step by Step เลยครับ ซึ่งบอกตามตรงว่าถ้าให้เขียนในบทความนี้อาจจะไม่ลึกมาพอ
ผมเลยตัดสินใจสร้างเป็น Community สำหรับคนอยากเริ่มต้นเป็น Solopreneur ขึ้นมา ซึ่งเข้าฟรี จะบ้าาา 5555+
สิ่งที่จะได้จาก Community นี้
- Solopreneur Concept ทั้งหมดที่ควรรู้ (ลึกลงเนื้อหามากขึ้นจากบทความนี้)
- พื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยน และแชร์ Knowledge ร่วมกันระหว่าง Solopreneur
ตอนนี้เป็นแค่ไอเดียอยู่ ถ้ามีคนสนใจเยอะ ผมจะเปิดทันที (ให้สิทธิ์คนที่ลงทะเบียนสนใจก่อน)
คลิกที่ Link นี้เพื่อลงทะเบียน wishlist ไว้ได้เลยค้าบบ
Leave a comment