Solopreneur คืออะไร? ถอดรหัสความสำเร็จธุรกิจฉายเดี่ยวในยุคดิจิทัล ฉบับสมบูรณ์ 2025

ผมเขียนบทความนี้โดยคิดว่ากำลังเขียนให้ตัวเองเมื่อ 5 ปีที่แล้วอ่าน เด็กหนุ่มที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ไม่มีเงินทุน ไม่มีคนช่วยทำ ต้องทำทุกอย่างเอง ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง มีหลายอย่างต้องทำเต็มไปหมด

หากมีใครสักคนเดินมาบอกผมตอนนั้นว่า ผมสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ด้วยตัวคนเดียวแบบ Solopreneur หรือ One Person Business โดยไม่ต้องมีเงินทุนเยอะ ฝึกฝนสกิลที่สำคัญก็พอ (ไม่ต้องเก่งทุกอย่าง) ผมคงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

แต่ตัวผมตอนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามันทำได้จริง ๆ ผมเลยตั้งใจมาก ๆ ที่จะเขียนคู่มือสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำ Digital business แบบ Solopreneur

หรือที่เรียกแบบไทย ๆ ว่านักธุรกิจฉายเดี่ยว เพื่อให้เขาไม่ต้องลองผิดลองถูกเองแบบผม (ต่อไปนี่ผมขอใช้คำว่า Solopreneur เป็นหลักนะครับ)

บทความนี้เอิร์ธเขียนไว้ยาวม๊ากกกก ใช้เวลาอ่านประมาณ 10-15 นาทีเลย
ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันครับ

เนื้อหาทั้งหมดที่คุณจะได้รับ:

  1. การเติบโตขึ้นของ Solopreneur ทั่วโลก
  2. Solopreneur คืออะไร? ต่างจากนักธุรกิจทั่วไปอย่างไร?
  3. ความแตกต่างจาก Entrepreneur ทั่วไป
    1. Solopreneur
    2. Entrepreneur
  4. ตัวอย่าง 5 Model ธุรกิจแบบ Solopreneur ที่สร้างรายได้มหาศาล
    1. 1. Digital Products
    2. 2. Knowledge Business
    3. 3. Content Creation
    4. 4. Digital Services
    5. 5. E-commerce
  5. Case Studies: Solopreneurs ที่ประสบความสำเร็จ
  6. แชร์ประสบการณ์จริงของผม จากเด็กวิศวะจบใหม่ สู่ Solopreneur
    1. Model ธุรกิจที่ผมเลือกคือ Digital Products
  7. Modern Stack Skills ที่ควรมี
    1. 1. Writing OS หา Digital DNA ของคุณ
    2. 2. Distribution OS
    3. 3. Monetization OS
    4. 4. Automation OS
  8. Tech Stacks สำคัญที่เหล่า Solopreneur ต้องมี
    1. ตัวอย่าง Software ที่ Solopreneur ควรมี
  9. สรุป: เส้นทางสู่การเป็น Solopreneur ยุคดิจิทัล
  10. เริ่มต้นเป็น Solopreneur ด้วยกันกับผม


การเติบโตขึ้นของ Solopreneur ทั่วโลก

ผมไปนั่ง Research ข้อมูลว่าว่าเทรนด์ของ Solopreneur เป็นอย่างไรบ้าง นี่คือสิ่งที่พบ

ข้อมูลจากรายงานของ Intuit QuickBooks แสดงให้เห็นว่าธุรกิจที่ไม่มีพนักงานในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 1997 เป็น 84% ในปี 2020 และคาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงเพิ่มสูงขึ้นในปี 2024

หากให้คิดถึงเหตุผลที่ทำให้เติบโตขึ้นขนาดนี้ก็คงจะมาจาก

  • การระบาดของโควิด ทำให้คนเริ่มหารายได้เสริมมากขึ้น
  • มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึง AI ที่ทำให้ Solopreneur ทำงานได้ง่ายขึ้น
  • หลายคนมองหาความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน และต้องการมีอิสระ ซึ่งทำให้ solopreneurship ดูน่าสนใจมากขึ้น

ผมคิดว่าทุกคนที่กดเข้ามาอ่านบทความนี้คงรู้สึกสนใจ และอยากเริ่มต้นเป็น Solopreneur กันแล้ว เพราะงั้นมาเข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่า

บทความนี้ยาวหน่อย ใช้เวลาอ่านประมาณ 10-15 นาที ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันที่ Solopreneur คืออะไร? ต่างจากนักธุรกิจทั่วไปยังไงกันครับ



Solopreneur คืออะไร? ต่างจากนักธุรกิจทั่วไปอย่างไร?

Soloprenuer คือ เจ้าของธุรกิจที่เริ่มต้นและดำเนินธุรกิจด้วยตัวคนเดียว โดยใช้เทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ มาช่วยทำงาน โดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ

(แต่ก็มีหลาย ๆ คนที่ใช้วิธีจ้าง Freelance หรือ Part-time เอา)

แล้วมันต่างจากนักธุรกิจทั่วไปยังไง? ข้อแตกต่างที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือทำคนเดียว 555+
ใช่ครับ มันมีแค่นี้แหละ เพราะ Solopreneur ก็คือการทำธุรกิจรูปแบบหนึ่ง
เพียงแค่ทำคนเดียว + ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยก็เท่านั้นเอง

ถ้าให้ list ลักษณะสำคัญ ๆ ก็จะได้ประมาณนี้

  • เป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ
  • มี Personal Branding
  • เน้นสร้างระบบ Automation
  • ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล
  • เน้นสร้างสินค้าที่สร้างเงินแบบ Passive Income

ความแตกต่างจาก Entrepreneur ทั่วไป

Solopreneur

  • เน้นการสร้างระบบ Automation
  • ทำงานคนเดียวหรือจ้าง Freelance
  • ใช้เงินลงทุนน้อย
  • โครงสร้างยืดหยุ่น
  • เน้นคุณภาพชีวิตและอิสรภาพ
  • สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้

Entrepreneur

  • เน้นการขยายธุรกิจใหญ่
  • จ้างพนักงานประจำ
  • ต้องการการลงทุนสูง
  • มีโครงสร้างองค์กรชัดเจน
  • เน้นการเติบโตของบริษัท
  • มักจะต้องมี office หรือหน้าร้าน

เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นแล้ว ว่า Solopreneur คืออะไร
ต่อไปมาพูดถึงรูปแบบการสร้างรายได้หรือ Business model กันบ้างดีกว่า

ผมได้ทำการสรุปออกมาเป็น 5 หมวดใหญ่ ๆ ที่เห็นบ่อยจาก Solopreneur ทั้งในไทยและต่างประเทศครับ


ตัวอย่าง 5 Model ธุรกิจแบบ Solopreneur ที่สร้างรายได้มหาศาล

การสร้างรายได้ของ Solopreneur นั้นมีหลากหลายมาก ๆ และก็ไม่จำเป็นต้องมาจากช่องทางเดียวด้วย

1 คนอาจทำหลากหลายโมเดลเลยก็ได้ งั้นมาเริ่มดูไปทีละอันเลยครับ

1. Digital Products

สิ่งนี้ Solopreneur แทบจะทุกคนต้องมีครับ ย้ำว่าต้องมี 555+ มันคือการสร้างสินค้าของตัวเองขึ้นมาเพื่อขายไม่ว่าจะเป็น

  • Online Courses
  • E-books
  • Templates
  • Digital file download

ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะถนัดทำ Digital Products แบบไหน อย่างเอิร์ธก็จะถนัดในเรื่องของ
การใช้งาน Notion ก็เลยเลือกขายตัวของ Notion Template

ใครถนัดสอนก็อาจจะทำตัวของ Online Course ใครถนัดเขียนก็ทำ E-books

แต่เอิร์ธแนะนำว่ายังไงก็ควรจะมีสัก 1 อย่าง เพราะมันคือสินค้าของเราเอง ซึ่งต้นทุนการผลิตของมันต่ำมาก ผลิตครั้งเดียวสามารถขายซ้ำได้เรื่อย ๆ ด้วย แจ่มมากก ><

2. Knowledge Business

อันนี้สำหรับสาย Expert business หรือเหล่าผู้เชี่ยวชาญ โค้ช และที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ

หากคุณเป็นคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านไหนสักด้าน
ก็สามารถหารายได้จากช่องทางนี้ได้ครับ

  • Coaching
  • Consulting
  • Online Teaching
  • Workshops
  • Webinars
  • Community

โมเดลนี้ก็เรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก หลัก ๆ ก็คือเป็นการแก้ปัญหาให้ลูกค้า
ผ่านความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเรานั่นเอง

อย่างตัวเอิร์ธมีทักษะในเรื่องของ Digital Marketing และ Copywriting ก็สามารถมารับงานเป็นที่ปรึกษา 1 on 1 ได้

ส่วนเรื่องรายได้ก็แล้วแต่จะตั้งราคากันเลย บ้างก็ตั้งเป็นเรทชั่วโมง บ้างก็รับเป็น Package ดูแลกันยาว ๆ เป็นรายเดือนก็มีครับ

หรืออาจจะจัดเป็นสัมมนาอมรบด้านต่าง ๆ ทั้งอบรมทั่วไป หรือจะเจาะกลุ่มไปที่องค์กรก็ได้ สุดยอดไปเลยยยย

3. Content Creation

โมเดลนี้ใกล้ตัวเข้ามาอีก เพราะทุกคนก็น่าจะรู้จักเอิร์ธจากคอนเทนต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะมาจาก Instagram, Youtube หรือ Facebook ก็ตาม

ซึ่งรายได้ของช่องทางนี้ก็ตามชื่อเลยครับ มาจากการทำคอนเทนต์ คำถามคือทำคอนเทนต์ได้เงินได้ยังไง

หลัก ๆ ก็คงมาจากค่าโฆษณาตามช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • Blogging
  • YouTube Channel
  • Podcast
  • Newsletter
  • Social Media Content

หลาย ๆ คนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำ Digital Products อะไรดี หรือไม่มั่นใจว่าความรู้ของตัวเองจะไปหารายได้จากการเป็นที่ปรึกษาได้ยังไง
เอิร์ธก็แนะนำให้เริ่มต้นจากการทำคอนเทนต์ก่อนครับ

เพราะเอาจริง ๆ แล้ว ไม่ว่าคุณจะทำ Digital Products หรือจะทำ Knowledge Business ยังไงก็ต้องทำคอนเทนต์ด้วยครับ ดังนั้นพลาดการทำคอนเทนต์ไม่ได้จริง ๆ

4. Digital Services

ส่วนใหญ่แล้วก่อนจะเริ่มต้นมาเป็น Solopreneur มาทำธุรกิจที่มีระบบ มีเทคโนโลยีต่าง ๆ
ก็มักจะเริ่มต้นมาจากการเป็น Freelance ก่อน

เพราะงั้น Digital Service มันคือโมเดลธุรกิจที่ต่อยอดมาจากการเป็น Freelance นั่นเอง

พูดง่าย ๆ ก็คือ การรับงานตามทักษะและความสามารถที่เรามี ตัวอย่างเช่น

  • Freelance Writing
  • Graphic Design
  • Web Development
  • Digital Marketing
  • Social Media Management

ใครเขียนเก่งก็รับงานเขียน ใครเก่งเรื่องทำ Website ก็รับทำ Website
รับงานเอง ปิดงานเองแบบ Solopreneur เพียงแค่มีระบบต่าง ๆ เข้ามาช่วยให้ Workflow การทำงานดีกว่าการเป็น Freelance ทั่วไปเท่านั้นเอง

5. E-commerce

ที่ผ่านมาเป็นสินค้าดิจิทัลและบริการ แต่สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการทำ Physical Products หรือสินค้าที่จับต้องได้ แต่หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า สินค้าแบบนี้มันมีต้นทุนการผลิตที่สูง Solopreneur จะทำได้ด้วยหรอ?

จริง ๆ แล้วมันทำได้ครับ แต่ต้องมีการพลิกแพลงนิดหน่อย
อันนี้เป็นตัวอย่างหลัก ๆ ที่มักจะเห็นกัน

  1. Print on Demand เป็นงานด้านออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบลายเสื้อผ้า ลายแก้ว หรือรูปภาพต่าง ๆ ไม่ต้องสต๊อกสินค้า
  2. Dropshipping คล้าย ๆ กับ Affiliate คือการไม่ต้องผลิตสินค้าเอง เน้นหาสินค้ามาแล้วทำการตลาดให้ เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ ซัพพลายเออร์จะเป็นคนจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าเอง
  3. Niche Products & Handmade Products อันนี้จะเป็นสินค้าที่ต้องผลิตเองบ้างแล้วครับ
    แต่ก็ไม่ได้เน้นผลิตแบบ Mass Production หรือผลิตมาก ๆ อยู่ดี

จบไปแล้วสำหรับโมเดลธุรกิจของเหล่า Solopreneur ที่ผมคัดมาหลัก ๆ 5 กลุ่มด้วยกัน

เอาจริง ๆ ผมว่ามันก็ค่อนข้างครอบคลุมแล้ว
หากใครมีโมเดลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ Comment บอกผมด้านล่างบทความได้เลยนะครับ ><

Part ต่อไปผมจะมาพูดถึง Case Study ของเหล่า Solopreneur
ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกให้ฟังกันครับ ไปกันต่ออออ



Case Studies: Solopreneurs ที่ประสบความสำเร็จ

เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนผมได้รู้จักกับ Dan Koe ซึ่งเป็น Solopreneur ต่างประเทศ เขาเรียกตัวเองว่าเป็น One person business

ประเด็นคือ Dan Koe เป็น Solopreneur ที่โหดมากกกก ปัจจุบัน Dan มีผู้ติดตามใน IG ประมาณ 1.6 ล้านคน ใน Youtube ประมาณ 9 แสนคน เมื่อปี 2024 เขาทำเงินได้ 4.2 ล้านดอลลาห์ หรือประมาณ 140 ล้านบาทต่อปี สุดจัด

ทีนี้ทุกคนคงอยากรู้แล้วว่า Dan มีโมเดลธุรกิจอะไรถึงทำเงินได้ขนาดนี้

หลัก ๆ มาจากการขาย Digital Products ที่เป็น Course online สอนด้านการเขียนที่มีชื่อว่า The 2 Hour Writer

คอร์สสอนการทำธุรกิจอย่าง The One-Person Business Launchpad และ Mental Monetization

มีหนังสือที่ชื่อว่า The Art of Focus ซึ่งสร้างยอดขายถล่มทลายตั้งแต่พึ่งเปิดตัว และก่อนหน้านี้เขาเคยรับงานที่ปรึกษาด้านการตลาดและการสร้าง Personal brand ด้วย

(แต่เดี๋ยวนี้เลิกไปแล้ว เพราะขายคอร์สน่าจะสบายกว่า 555+)

บทความนี้ไม่ได้ sponsor จาก Dan แต่อย่างใด เพียงแค่ผมสนใจแนวทางการทำธุรกิจของเขาและผมก็กำลังเดินตามรอยอยู่เช่นกัน 555+

นอกจากนี้แนวทางในการทำ Content ของ Dan คือเน้นไปที่ทักษะด้านการเขียนแบบสุด ๆ เรียกว่าฉีกทุกตำราการตลาดเลยก็ว่าได้

หากคุณเข้าไปส่อง IG ของ Dan จะพบว่าหน้า Feed ของเขาจะมีแต่ภาพขาวดำ และมีตัวหนังสือเต็มไปหมด ใคร ๆ ก็บอกว่า IG ต้องเน้นที่รูปภาพ Video ทำให้ดูสวย

แต่ Dan ไม่สน เขาจะเน้นส่งมอบคุณค่าผ่านการเขียนเป็นหลัก และยอดผู้ติดตตามหลักล้านก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามัน Work

ต่อมาผมจะเล่า Case study ที่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือเรื่องของผมเอง 555+

ผมาจะแชร์ประสบการณ์จากเด็กวิศวะจบใหม่ สามารถสร้างรายได้ 6 หลักจากการเป็น Solopreneur ได้ยังไง

ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันต่อครับ


แชร์ประสบการณ์จริงของผม จากเด็กวิศวะจบใหม่ สู่ Solopreneur

ช่วงหลายวันที่ผ่านมามีคนเข้ามาถามผมเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจเยอะมาก อยากเข้าใจเส้นทางการทำธุรกิจของผมว่ามันคืออะไร มีโมเดลการหารายได้อย่างไร

และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจไม่ทำงานประจำเป็นวิศวกร แล้วเลือกที่จะเป็น Solopreneur ตั้งแต่เรียนจบ

“ตอนจบวิศวะใหม่ ๆ ผมมีทางเลือกสองทางคือ… สมัครงานบริษัทใหญ่ด้วยเงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท หรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง”

ผมเลือกทางที่สอง เพราะ:

  1. อยากมีอิสระในการทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้
  2. ต้องการสร้างผลงานที่เป็นของตัวเอง
  3. เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ไม่จำกัด
  4. ชอบการเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆ

ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของ freedom มีอิสระด้านเวลา สถานที่ และเงิน ดังนั้นเส้นทางการเป็น Solopreneur นั้นตอบโจทย์ผมมากกว่าการทำงานประจำ

Solopreneur ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นรูปแบบธุรกิจที่จะกลายเป็นปกติใหม่ในอนาคต ถ้าคุณกำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการทำธุรกิจ นี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น

Model ธุรกิจที่ผมเลือกคือ Digital Products

อย่าลงแข่งในสนามที่เราไม่มีทางชนะ ให้เล่นในเกมส์ที่เราถนัด นี่คือความเชื่อของผมในตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ผมรู้ว่าตัวเองอยากเป็น Solopreneur แต่ผมไม่ได้อย่าทำ Content เยอะหรือเป็น Content Creator ( ณ เวลานั้นนะครับ 5555+ )

ผมเลยกลับมาดูว่าตัวเองมี Value หรือคุณค่าอะไรบ้าง ที่จะเอามาเปลี่ยนเป็น Digital Product ได้ ซึ่งสิ่งที่ผมพบคือ ผมใช Notion มาช่วยจัดการงานจัดการชีวิตตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้ว

และนี่คือจุดที่ผมตัดสินใจเริ่มทำ Notion template ขาย และกลายมาเป็น Notion Second brain OS ซึ่งเป็นรายได้หลักของผมทุกวันนี้เลย (แชร์ Insight สุด ๆ เลยนะเนี่ยยย)

แนวทางในการหารายได้ของผมแบบเล่าสั้น ๆ ก็คือ

  • เปิด Page facebook
  • ทำ Content นิดหน่อยเกี่ยวกับ Productivity และ Notion
  • แชร์ลงกลุ่ม Facebook
  • เริ่มมีผู้ติดามหลักร้อยหลักพัน
  • ทำ Ads โฆษณามา 1 ตัว (ใช้ทักษะ Copywriting)
  • ทำ Landing page ขึ้นมา (เพราะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ)
  • ยิง Ads ใน Facebook ด้วยเงิน 100 บาท
  • Test ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอ Ads ที่ขายได้
  • สร้างยอดขายมาจนถึง 6 หลัก

ในช่วงแรกหลาย ๆ อย่างยัง Manual อยู่ ผมต้องคอยตอบแชทเอง ส่ง Template ไปให้ลูกค้าเอง แต่พอเริ่มมีรายได้มากยิ่งขึ้น ก็เริ่มนำระบบ Automation เข้ามาช่วย ซึ่งผมจะบอกใน Part ต่อ ๆ ไป รออ่านได้เลย

อันนี้คือเล่าแบบเร็วสุด ๆ 5555+ แต่จริง ๆ มันมีรายละเอียดมากกว่านี้ เดะจะเล่าในบทความต่อ ๆ ไป เพราะงั้นอย่าลืมสมัครรับ Newsletter ไว้ด้วยนะค้าบบ

เอาล่ะ ทุกคนคงเริ่มเห็นภาพมากขึ้นและอยากเริ่มต้นเป็น Solopreneur กันบ้างแล้ว

ในส่วนต่อไปผมจะมาพูดในเรื่องของ Modern Stack Skills หรือทักษะสำคัญที่ควรจะมีเพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจแบบ Solopreneur กันบ้างครับ


Modern Stack Skills ที่ควรมี

ผมจะบอกตรง ๆ ว่า Modern stack ที่แท้จริงสำหรับ Solopreneur มันไม่ใช่แค่ชุดทักษะ แต่มันคือ Operating System ของคุณ

เพราะเราไม่สามารถสร้างธุรกิจได้จากทักษะใดทักษะหนึ่ง แต่มันเกิดจากการผนวกรวมกันของหลาย ๆ ทักษะ จนกลายเป็น System ที่ทำเงินได้ โดยหลัก ๆ มี 4 ตัวด้วยกัน…

  • Writing OS (ทักษะการเขียน)
  • Distribution OS (ทักษะการกระจาย Content)
  • Monetization OS (ทักษะการสร้าง Product ที่ Scale ได้)
  • Automation OS (ทักษะการสร้างระบบอัตโนมัติ)

เดี๋ยวผมจะลงรายละเอียดแต่ละตัวให้ครับ

1. Writing OS หา Digital DNA ของคุณ

ไม่ใช่เรื่องการเป็น Hemingway คนต่อไป แต่เป็นเรื่องของการพัฒนา Digital DNA ของคุณ เฉียบบบบ 5555+

Writing system ของคุณต้องมี องค์ประกอบหลัก 3 อย่าง:

  • Unique Insight: ความสามารถในการเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้ามและอธิบายมันได้อย่างชัดเจน ซึ่งมาจากการสังเกตอย่างลึกซึ้งและการตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่
  • Personal Voice: ไม่ใช่แค่เสียงธรรมดา แต่เป็นเสียงที่โดดเด่นจนผู้อ่านรู้ว่าเป็นคุณโดยไม่ต้องเห็นชื่อ
  • Direct Response: ทุกประโยคต้องกระตุ้นบางสิ่งในตัวผู้อ่าน เช่น การตระหนักรู้ อารมณ์ การกระทำ ถ้าไม่สร้างผลกระทบ ตัดทิ้ง

ถ้าพูดตามตรงผมยกให้นี่คือทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้เลย สำหรับคนจะเป็น Solopreneuer

จากประสบการณ์ส่วนตัว การที่ผมสามารถสร้างรายได้ 6 หลักก็มาจากทักษะการเขียน
ผมเขียน Copywriting เพื่อขายสินค้าได้เฉียบคม ผมทำ Landing page ได้ดี
พวกนี้เป็นเรื่องทักษะการเขียนหมดเลย

และผมก็กำลังจะเปิดสอนทักษะนี้แบบจัดเต็มในคอร์ส Copywriting Made Simple สนใจคลิกไปอ่านรายละเอียดได้เลยครับ

2. Distribution OS

ทักษะนี้เป็นเรื่องของ Marketing แต่ผมอยากให้มองแบบนี้ครับว่า ทุก ๆ พื้นที่ ที่ Content เราเข้าไปถึง = อณาจักรของเรา ดังนั้นคุณต้องรู้จักใช้เครื่องมือ เพื่อกระจาย Content เช่น

  • AI Integration: ใช้ AI เป็นพาร์ทเนอร์ในการช่วยคิดไอเดีย (เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ) เพราะสุดท้ายคุณภาพจริง ๆ เราจะเป็นคนสร้างเอง
  • Content Ecosystem: สร้างระบบ Content ที่หล่อเลี้ยงตัวเองได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ 1 บทความ → กลายเป็น 1 คลิปยูทูป → กลายเป็น Short video 3 อัน → กลายเป็น Thread 5 อัน เป็นต้น
  • Remixing: หนึ่งไอเดียต้องสร้างคอนเทนต์ได้เป็นร้อยชิ้น

ต้องฝึกบ่อย ๆ ครับ แต่พอทำได้แล้ว คุณจะผลิต Content ได้ไม่อั้น และทุก ๆ ที่จะเป็นอณาจักรของคุณ

3. Monetization OS

ธุรกิจของคุณต้องสร้างเงินได้แม้ตอนคุณหลับ แค่นี้เลยครับ 555+

  • Digital Assets: สร้างครั้งเดียว ขายไม่จำกัด
  • Production Line: สร้างระบบที่ผลิตผลลัพธ์ซ้ำได้
  • High-Ticket: แก้ปัญหาที่ลูกค้ายอมจ่ายแพง

4. Automation OS

ปัญหาใหญ่ที่ผมเห็นคือ คนมักจะพยายาม automate ทุกอย่างตั้งแต่วันแรก พอระบบซับซ้อนเกินไป สุดท้ายก็พัง

ลองมาดูแต่ละองค์ประกอบ

  1. Minimal System

เริ่มจากการทำเองก่อน (manual) สัก 2-3 ครั้ง เพื่อเข้าใจกระบวนการจริง ๆ เช่น ถ้าคุณขาย digital product ให้เริ่มจากระบบง่ายๆ

  • รับเงินผ่าน QR Code
  • ส่งสินค้าด้วย email
  • เก็บข้อมูลใน spreadsheet

เมื่อทำไปสักพัก คุณจะเห็นว่าส่วนไหนควร automate จริง ๆ

2. No-Code Tools

ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด แค่ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็น:

  • Zapier เชื่อมระบบต่างๆ
  • Stripe จัดการการขาย
  • Notion เก็บ knowledge base
  • WordPress ทำ Blog
  • Framer ทำ Landing page

เลือกเครื่องมือที่:

  • ใช้งานง่าย
  • เชื่อมต่อกับระบบอื่นได้
  • มีความน่าเชื่อถือ

3. Documentation

เขียนทุกขั้นตอนให้ชัดเจนจนคนอื่นทำตามได้

ตัวอย่างการทำ documentation

  • Flow chart ของระบบ
  • คู่มือการใช้งานแต่ละ tool
  • Checklist สำหรับแต่ละกระบวนการ

ผมมักแนะนำให้เริ่มจากการ automate กระบวนการที่

  1. ทำซ้ำบ่อยที่สุด
  2. ใช้เวลามากที่สุด
  3. มีโอกาสผิดพลาดสูง

เมื่อระบบแรกทำงานได้ดี ค่อยๆ add ความซับซ้อนเพิ่ม

จำไว้ว่า automation ที่ดีควร

  • ประหยัดเวลาจริง ๆ
  • ลดความผิดพลาด
  • ขยายตัวได้
  • ดูแลรักษาง่าย

เพราะงั้นเริ่มต้นทำไปก่อนครับ เรื่องระบบ Automation เรามาทำเพิ่มทีหลังได้อยู่แล้วไม่ต้องห่วงเลย

สิ่งที่คุณควรทำคือให้ทั้ง 4 ส่วนนี้เชื่อมโยงกัน

  • งานเขียนหล่อเลี้ยงการกระจายเนื้อหา
  • การกระจายเนื้อหาขับเคลื่อนรายได้
  • ระบบอัตโนมัติขยายทุกอย่าง

ในส่วนของ Modern stack skills ก็ประมาณนี้ครับ เดะผมอาจมีบทความที่ลงรายละเอียดกว่านี้เพิ่มเติม รออ่านได้เลย

ในส่วนต่อไปผมจะมาพูดถึง Tech stacks กันบ้าง จริง ๆ ทุกคนก็คงพอจะเห็นที่ผมพูดถึงไปแล้วบ้างตรงส่วนของเรื่อง Automation ว่ามี Software อะไรบ้างที่จำเป็น ซึ่งผมจะมาลงรายละเอียดให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นครับ


Tech Stacks สำคัญที่เหล่า Solopreneur ต้องมี

หลัก ๆ ที่ Solopreneur ควรจะมีโดยผมอิงโมเดลจาก Dan Koe (ได้ข้อมูลนี้มาจากแอดทอย Datarockie เลย ขอบคุณมากนะค้าบบ) รวมถึงที่ผมใช้เองทุกวันนี้ด้วย

  • Website (เก็บ Content)
  • Store (วาง Product & Service)
  • Email (เป็น Own traffic)
  • Social media (กระจาย Content)

โดยทั้ง 4 ตัวนี้ก็จะทำการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านระบบอัตโนมัตินั่นเอง

ดังนั้นหน้าที่หลัก ๆ ของ Solopreneur ก็คือการสร้าง Value เพื่อส่งมอบให้กับผู้ติดตามผ่านการทำ Content ซึ่งสกิลที่ต้องใช้ก็ไม่พ้นการเขียนนั่นเอง

  • Website ก็ต้องเขียน
  • Store ก็ต้องเขียน
  • Emaill ก็ต้องเขียน
  • Social media ก็ต้องเขียน

ที่นี้เรามาพูดถึง Software กันบ้างดีกว่า หลายคนน่าจะอยากรู้ว่าแล้ว Website ใช้ของอะไรดี? Store ล่ะจะวางขายของในไหน?

ผมจะมาแชร์เท่าที่ผมเห็นเยอะ ๆ ในหมู่ Solopreneur ต่างประเทศและที่ผมใช้ให้นะครับ

ตัวอย่าง Software ที่ Solopreneur ควรมี

  1. Website สำหรับเขียน Blog
  • WordPress ใช้ในการทำ Blog ( Dan Koe + ผม ใช้)
  • Ghost.org
  • Wix
  • Squarespace
  • Framer (ผมใช้ในการทำ Landing page ขายสินค้า)

2. Store ใช้ในวางสินค้าและชำระเงิน

  • Stripe (เป็น Payment gateway ที่ผมใช้ในการชำระเงิน)
  • Stan store (Dan Koe ใช้)
  • Gumroad (ต่างประเทศใช้ขาย Digital product เยอะมาก)

3. Email Marketing

  • Sendfox
  • Beehiiv (Dan Koe ใช้)
  • ActiveCampaign
  • Mailchimp

4. Social Media

อันนี้ผมว่าทุกคนน่าจะมีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำในช่องทางไหน

สำหรับ Dan Koe เขาจะโฟกัสหลัก ๆ คือ

  • Youtube
  • X (Twitter)
  • Instagram

ของผมก็จะเป็น

  • Instagram
  • Facebook
  • Youtube (กำลังจะเริ่มทำมากขึ้น)

และตัวพิเศษสุดท้ายก็คือระบบ Automation ที่ไว้ผูกทั้งหมดเข้าด้วยกัน

5. Automation

  • Zapier (Dan Koe ใช้)
  • Make

หลัก ๆ ก็ประมาณนี้ครับ นี่ยังไม่รวมโปรแกรมในการทำคลิป Video หรือทำรูปภาพอย่าง Canva อีก หรือมีกระทั่ง AI ต่าง ๆ ที่ใช้กันเช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude

ในช่วงเริ่มต้นก็ไม่จำเป็นต้องมีครบทุก Tech stack ก็ได้ครับ เริ่มจาก Social Media ทำคอนเทนต์ก่อน และขายของในช่องทาง Social media เป็นแบบ Chat commerce ง่าย ๆ ไปก่อนก็ได้ครับ (ตอนแรกผมก็ทำแบบนั้น)

หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่ม Tech stack อื่น ๆ เข้ามา เริ่มทำระบบ Automation แล้วคุณก็จะสามารถรันธุรกิจด้วยตัวคนเดียวง่ายขึ้นครับ สุดยอดไปเลยยย


สรุป: เส้นทางสู่การเป็น Solopreneur ยุคดิจิทัล

เนื้อหาแน่นมาก 555+ หากใครจำอะไรไม่ได้เลย มาทวนพร้อมกันที่ Part สรุปครับผม

การเป็น Solopreneur ไม่ใช่เรื่องของการมีทักษะที่เยอะที่สุด แต่เป็นเรื่องของการสร้างระบบที่ดีที่สุด จากทั้งหมดที่เราพูดคุยกันมา มีประเด็นสำคัญที่อยากสรุปให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้น

โอกาสที่เปิดกว้าง

  • Solopreneur กำลังเติบโตขึ้นทั่วโลก จาก 76% เป็น 84% ในสหรัฐอเมริกา
  • เทคโนโลยีและ AI ทำให้การทำธุรกิจคนเดียวเป็นไปได้ง่ายขึ้น
  • ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนมาก เน้นที่การสร้างระบบและใช้เครื่องมือที่มีอยู่

โมเดลธุรกิจที่เป็นไปได้

  • Digital Products – สร้างครั้งเดียว ขายได้ไม่จำกัด
  • Knowledge Business – แปลงความเชี่ยวชาญเป็นรายได้
  • Content Creation – สร้างรายได้จากการผลิตเนื้อหา
  • Digital Services – ให้บริการด้านดิจิทัลแบบมีระบบ
  • E-commerce – ขายสินค้าแบบไม่ต้องสต็อก

ระบบปฏิบัติการหลัก 4 ด้าน

  1. Writing OS – พัฒนาเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ สร้าง digital DNA
  2. Distribution OS – กระจายเนื้อหาอย่างชาญฉลาด ใช้ AI ช่วยผลิต
  3. Monetization OS – สร้างระบบรายได้ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
  4. Automation OS – เริ่มจากระบบง่ายๆ ค่อยๆ พัฒนา

เทคโนโลยีที่จำเป็น

  • Website สำหรับรวบรวม Content
  • Store สำหรับขายสินค้าและบริการ
  • Email Marketing เพื่อสร้าง Own Traffic
  • Social Media สำหรับกระจายเนื้อหา
  • ระบบ Automation เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน

ข้อแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น

  • เริ่มจากสิ่งที่คุณถนัดและมีความรู้
  • ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างตั้งแต่แรก เริ่มจากระบบง่ายๆ ก่อน
  • ให้ความสำคัญกับการสร้าง Content และ Value
  • ค่อยๆ พัฒนาระบบอัตโนมัติเมื่อธุรกิจเริ่มโต

การเป็น Solopreneur ไม่ใช่เส้นทางลัดสู่ความสำเร็จ แต่เป็นเส้นทางที่ให้อิสระในการสร้างธุรกิจตามแบบฉบับของคุณเอง เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาระบบให้แข็งแกร่งขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำ เพราะประสบการณ์จริงจะสอนอะไรคุณได้มากกว่าการอ่านทฤษฎีอย่างเดียว

พร้อมแล้วหรือยังที่จะเริ่มต้นเส้นทาง Solopreneur ของคุณ?


เริ่มต้นเป็น Solopreneur ด้วยกันกับผม

ต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่อง Action plan กันบ้าง ว่าถ้าต้องการจะเป็น Solopreneur บ้างแล้ว ต้องทำอะไรบ้างทีนี้ ผมจะมาแชร์แบบ Step by Step เลยครับ ซึ่งบอกตามตรงว่าถ้าให้เขียนในบทความนี้อาจจะไม่ลึกมาพอ

ผมเลยตัดสินใจสร้างเป็น Community สำหรับคนอยากเริ่มต้นเป็น Solopreneur ขึ้นมา ซึ่งเข้าฟรี จะบ้าาา 5555+

สิ่งที่จะได้จาก Community นี้

  • Solopreneur Concept ทั้งหมดที่ควรรู้ (ลึกลงเนื้อหามากขึ้นจากบทความนี้)
  • พื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยน และแชร์ Knowledge ร่วมกันระหว่าง Solopreneur

ตอนนี้เป็นแค่ไอเดียอยู่ ถ้ามีคนสนใจเยอะ ผมจะเปิดทันที (ให้สิทธิ์คนที่ลงทะเบียนสนใจก่อน)

คลิกที่ Link นี้เพื่อลงทะเบียน wishlist ไว้ได้เลยค้าบบ

https://solopreneur-community-wishlist.framer.website/


สมัคร Newsletter ฟรี

เพื่ออ่านบทความเรื่อง Digital business, Productivity และ Philososhy จากผมก่อนใคร

6 responses to “Solopreneur คืออะไร? ถอดรหัสความสำเร็จธุรกิจฉายเดี่ยวในยุคดิจิทัล ฉบับสมบูรณ์ 2025”

  1. ขอบคุณที่แบ่งปันครับ ได้ไอเดียเลยย กด sub แล้วว

    Liked by 1 person

    1. ขอบคุณมากนะค้าบบ สนใจเรื่องไหนเพิ่มเติมบอกเอิร์ธได้เลยนะคับบ

      Like

  2. เดี๋ยวมาอ่านต่อนะครับ ธุรกิจของพี่กำลังไปได้สวยเพราะบทความน้องเลย (⁠。⁠•̀⁠ᴗ⁠-⁠)⁠✧

    Liked by 1 person

    1. โหหห ดีใจมากเลยย มีกำลังใจเขียนต่อ แหะๆ ;-;

      Like

  3. […] ผมได้เขียนบทความเต็ม ๆ เรื่องนี้ไว้แล้ว กดอ่านได้ที่นี่เลย […]

    Like

  4. ปีนี้เมียผม ให้โจทย์เป็น Solopreneur ที่ทำงานอยู่บ้านและทำเงินอย่างยั่งยืนจาก Online ขึ้นปีใหม่ มาเจอคลิปล่าสุดพอดี แล้วเข้ามาอ่าน Content ในเว็บนี้ รีบกดซับทันที!! ความรู้พรีเมี่ยมมาก เชื่อว่า ปี 2025 ปีที่ดีแน่นอน ขอบคุณที่ทำคอนเทนต์ดีๆนะครับ ชอบมาก

    Like

Leave a comment

สมัครรับ Newsletter เพื่อรับบทความฟรีทุกสัปดาห์

เพื่ออ่านบทความเรื่อง Digital business, Productivity และ Philosophy