รีวิวหนังสือ Building a StoryBrand เล่าเรื่องยังไงให้คนจำได้ และขายของดี! ฉบับทำตามได้เลย

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางแบรนด์ถึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางแบรนด์กลับดูไม่น่าสนใจเลย? คำตอบอาจไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพสินค้าหรือบริการ แต่เป็นเรื่องของ “วิธีการเล่าเรื่อง” ต่างหาก

ในหนังสือ “Building a StoryBrand” Donald Miller ได้เผยเคล็ดลับการสร้างแบรนด์ให้น่าสนใจผ่านการเล่าเรื่อง โดยใช้หลักการเดียวกับที่ฮอลลีวูดใช้สร้างภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ วันนี้เรามาดูกันว่าเราจะนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไร

  1. ความผิดพลาดที่พบบ่อยในการสื่อสารแบรนด์
  2. ✨ 7 เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ StoryBrand
    1. 1. ให้ลูกค้าเป็นพระเอก (The Customer is the Hero)
    2. 2. ระบุปัญหาให้ชัดเจน (The Problem is Clear)
    3. 3. คุณเป็นผู้ช่วย (You are the Guide)
    4. 4. สร้างแผนที่ชัดเจน (A Clear Plan)
    5. 5. เร่งเร้าให้ลงมือทำ (Call to Action)
    6. 6. แสดงให้เห็นผลเสียหากไม่ทำ (Show What’s at Stake)
    7. 7. แสดงให้เห็นภาพความสำเร็จ (Paint a Success Picture)
  3. 🪄 การนำไปใช้จริง
  4. 🧑‍💻 สรุป

ความผิดพลาดที่พบบ่อยในการสื่อสารแบรนด์

ก่อนที่จะเข้าสู่เทคนิคต่างๆ เรามาดูความผิดพลาดที่หลายแบรนด์มักทำกันก่อน นั่นคือการพยายามเล่าเรื่องของตัวเองมากเกินไป เช่น:

  • ประวัติความเป็นมาของบริษัท
  • รางวัลที่เคยได้รับ
  • ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์
  • เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้

แต่ความจริงก็คือ… ลูกค้าไม่ได้สนใจคุณขนาดนั้น พวกเขาสนใจแต่เรื่องของตัวเองมากกว่า

💡สิ่งที่ลูกค้าอยากรู้คือ ธุรกิจของคุณ จะช่วยให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร?

✨ 7 เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ StoryBrand

1. ให้ลูกค้าเป็นพระเอก (The Customer is the Hero)

ลองนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Star Wars สิ่งที่ทำให้เราประทับใจไม่ใช่ความเก่งกาจของ Obi-Wan Kenobi แต่เป็นการเติบโตของ Luke Skywalker ต่างหาก

เช่นเดียวกัน ลูกค้าของคุณก็อยากเป็น Luke ในเรื่องราวของตัวเอง ไม่ใช่แค่ผู้ชมที่นั่งดูคุณอวดความเก่ง

ตัวอย่างการเปลี่ยนมุมมอง:

❌ ร้านฟิตเนส: “เราคือยิมที่ทันสมัยที่สุดในย่าน มีเทรนเนอร์ระดับมืออาชีพ”
✅ ร้านฟิตเนส: “คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและมีสุขภาพที่ดีขึ้นหรือยัง? เราอยู่ตรงนี้เพื่อช่วยคุณในทุกก้าวของการเดินทาง”

❌ ร้านอาหารคลีน: “เชฟของเรามีประสบการณ์ 20 ปี จบจากปารีส”
✅ ร้านอาหารคลีน: “อยากทานอาหารอร่อยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแคลอรี่ใช่ไหม? มาค้นพบความอร่อยที่เป็นมิตรกับสุขภาพของคุณ”

2. ระบุปัญหาให้ชัดเจน (The Problem is Clear)

ความลับที่สำคัญที่สุดของการเล่าเรื่องคือ “ปัญหา” ลองนึกดู Harry Potter จะน่าสนใจไหมถ้าไม่มี Voldemort? Batman จะเป็นฮีโร่ได้ไหมถ้าไม่มีอาชญากรรมในเมือง Gotham?

Miller แนะนำให้มองปัญหาใน 3 ระดับ
ลองดูตัวอย่างจากร้านขายรองเท้าวิ่ง

  1. ปัญหาภายนอก (External Problem): “เวลาวิ่งแล้วเจ็บเข่า รู้สึกเมื่อยล้าเร็ว”
  2. ปัญหาภายใน (Internal Problem): “รู้สึกท้อแท้ กลัวว่าจะต้องเลิกวิ่ง กลัวว่าจะไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้”
  3. ปัญหาเชิงปรัชญา (Philosophical Problem): “คนที่มีความฝันไม่ควรต้องหยุดวิ่งตามฝันเพราะอุปกรณ์ไม่เหมาะสม”

การสื่อสารที่รวมปัญหาทั้ง 3 ระดับ: “เจ็บเข่าทุกครั้งที่วิ่งใช่ไหม? เรารู้ว่ามันท้อแท้แค่ไหนที่อาจต้องเลิกทำในสิ่งที่รัก แต่คุณไม่จำเป็นต้องยอมแพ้ เพราะรองเท้าที่ใช่จะช่วยให้คุณวิ่งตามความฝันได้อย่างมั่นใจ”

3. คุณเป็นผู้ช่วย (You are the Guide)

ลองนึกถึง Yoda ใน Star Wars หรือ Gandalf ใน Lord of the Rings พวกเขาไม่ใช่พระเอก แต่เป็นผู้ช่วยที่ทำให้พระเอกประสบความสำเร็จ

การเป็นผู้ช่วยที่ดีต้องแสดงให้เห็น 2 สิ่ง:

  1. ความเข้าใจ (Empathy): “เราเข้าใจดีว่าการหารองเท้าวิ่งที่ใช่สักคู่มันยากแค่ไหน เพราะเราเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน”
  2. ความเชี่ยวชาญ (Authority): “ด้วยประสบการณ์กว่า 1,000 คู่ที่เราได้ช่วยนักวิ่งเลือก เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณพบรองเท้าที่ใช่”

4. สร้างแผนที่ชัดเจน (A Clear Plan)

คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไม IKEA ถึงประสบความสำเร็จ? แม้ว่าลูกค้าต้องประกอบเฟอร์นิเจอร์เอง แต่ IKEA มีคู่มือที่ชัดเจนมาก ทำให้งานที่ดูยากกลายเป็นเรื่องง่าย

Miller บอกว่าลูกค้าชอบความชัดเจน ไม่ชอบความสับสน เขาแนะนำให้สร้างแผนสองประเภท:

  1. แผนกระบวนการ (Process Plan): ตัวอย่างจากร้านรองเท้าวิ่ง: “3 ขั้นตอนสู่การวิ่งที่สบายเท้า:
  • ขั้นที่ 1: วิเคราะห์รูปเท้าและลักษณะการวิ่งของคุณด้วยเทคโนโลยี 3D Scan
  • ขั้นที่ 2: ทดลองวิ่งกับรองเท้าที่เหมาะกับคุณ
  • ขั้นที่ 3: ปรับแต่งให้พอดีที่สุดกับเท้าของคุณ”
  1. แผนข้อตกลง (Agreement Plan): “คำมั่นสัญญาของเรา:
  • รับประกันความพอใจ 30 วัน
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอดการใช้งาน
  • เปลี่ยนไซส์ฟรีหากไม่พอดี”

5. เร่งเร้าให้ลงมือทำ (Call to Action)

ลองนึกถึงหนัง The Matrix ถ้า Morpheus ไม่เร่งให้ Neo เลือกระหว่างยาสีแดงกับสีน้ำเงิน เรื่องราวคงไม่เกิดขึ้น

Miller แนะนำให้มี Call to Action สองแบบ:

  1. CTA โดยตรง (Direct CTA): “จองคิววิเคราะห์รูปเท้าฟรีวันนี้ – เหลือเพียง 5 สล็อตสุดท้ายของสัปดาห์!”
  2. CTA ทางอ้อม (Transitional CTA): “ดาวน์โหลดคู่มือ ‘วิธีเลือกรองเท้าวิ่งให้เหมาะกับคุณ’ ฟรี”

ทริค: ทำให้ CTA โดดเด่น ชัดเจน และสร้างความเร่งด่วน

6. แสดงให้เห็นผลเสียหากไม่ทำ (Show What’s at Stake)

คิดถึงเรื่อง Finding Nemo ถ้า Marlin ไม่ออกตามหา Nemo จะเกิดอะไรขึ้น? การแสดงให้เห็นความเสี่ยงจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจ

ตัวอย่างจากร้านรองเท้าวิ่ง: “ทุกๆ ปี นักวิ่งกว่า 65% ต้องหยุดวิ่งกลางคันเพราะอาการบาดเจ็บจากรองเท้าไม่เหมาะสม บางคนต้องพักฟื้นนานถึง 6 เดือน บางคนเลิกวิ่งไปเลย คุณไม่จำเป็นต้องเป็นหนึ่งในนั้น”

แต่ Miller เตือนว่า: ใช้เทคนิคนี้แบบพอดี เหมือนใส่เกลือในอาหาร – นิดหน่อยทำให้อร่อย มากไปทำให้เสียรส

7. แสดงให้เห็นภาพความสำเร็จ (Paint a Success Picture)

จบเรื่องด้วยภาพที่สวยงาม เหมือนที่ Walt Disney บอกว่า “ทุกเรื่องต้องมี Happy Ending”

ตัวอย่างจากร้านรองเท้าวิ่ง: “ลองจินตนาการถึงวันที่คุณวิ่งได้อย่างมีความสุข ไม่มีอาการปวดเข่า ไม่มีความกังวล มีแต่ความรู้สึกดีๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก วันนั้นคุณอาจวิ่งได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น และมีความสุขมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็นและพร้อมจะช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้น”


🪄 การนำไปใช้จริง

ลองทำแบบฝึกหัดง่ายๆ

  1. เขียนเรื่องราวของลูกค้าคุณ
  • พวกเขาเป็นใคร?
  • พวกเขาต้องการอะไร?
  • อะไรคือปัญหาที่ขัดขวางพวกเขา?
  1. วางตำแหน่งแบรนด์ของคุณ
  • คุณจะช่วยพวกเขาอย่างไร?
  • คุณมีแผนอะไรให้พวกเขา?
  • ความสำเร็จที่คุณจะพาพวกเขาไปถึงคืออะไร?

🧑‍💻 สรุป

การเล่าเรื่องไม่ใช่แค่ศิลปะ แต่เป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่ทรงพลัง เมื่อคุณหยุดพูดถึงความยอดเยี่ยมของตัวเอง และหันมาใส่ใจเรื่องราวของลูกค้า คุณจะพบว่า:

  • ลูกค้าเข้าใจสิ่งที่คุณนำเสนอมากขึ้น
  • การตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
  • ความภักดีต่อแบรนด์เพิ่มขึ้น

จำไว้ว่า: ทุกวันนี้ลูกค้าไม่ได้แค่ซื้อสินค้าหรือบริการ พวกเขากำลังซื้อเรื่องราวที่ดีกว่าสำหรับชีวิตของพวกเขา และคุณมีโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเรื่องราวนั้น

ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนวิธีการสื่อสารของคุณ จาก “เรื่องราวของเรา” เป็น “เรื่องราวของพวกเขา” เพราะเมื่อคุณช่วยให้ลูกค้าเป็นฮีโร่ในเรื่องราวของตัวเอง พวกเขาจะทำให้คุณเป็นแบรนด์ในดวงใจของพวกเขาเอง

หากคุณสนใจพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องให้เฉียบคมเพื่อปิดการขายให้ง่ายขึ้น ผมมีคอร์สด้าน Copywriting ที่กำลังจะเปิดสอนเร็ว ๆ อ่านรายละเอียดได้ที่นี่เลยครับ

👉 Copywriting Made Simple


Discover more from Earth Rati

Subscribe to get the latest posts sent to your email.

Leave a comment

Discover more from Earth Rati

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading